GULF ส่งบริษัทย่อยเข้าลงทุน "LCI Fund" มูลค่า 2.7 พันล้านบาท

08 ส.ค. 2565 | 11:05 น.
อัปเดตล่าสุด :08 ส.ค. 2565 | 18:05 น.

GULF ส่งบริษัทย่อย Gulf HK เข้าลงทุนกองทุน LCI Fund วงเงิน 75 ล้านยูโร หรือประมาณ 2.7 พันล้านบาท เน้นพลังงานหมุนเวียนและการจัดการสภาพภูมิอากาศ สนับสนุนความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมควบคู่ไปกับการให้ผลตอบแทนที่ดี

บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF เปิดเผยว่า Gulf International Investment (Hong Kong) Limited (Gulf HK) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่บริษัทฯ ถือหุ้นในสัดส่วน 100% ได้ลงนามในสัญญาลงทุน (Subscription Agreement) เพื่อเข้าลงทุนในวงเงิน 75 ล้านยูโร ในกองทุน Lightrock Climate Impact Fund SCSp (LCI Fund) โดยกองทุนดังกล่าวมีกำหนดอายุกองทุนประมาณ 10 ปีและมีระยะเวลาลงทุน 5 ปี ซึ่งจะทยอยเรียกชำระทุนภายในระยะเวลาลงทุนดังกล่าว

 

LCI Fund ถือเป็นกองทุน Private Equity ภายใต้การบริหารจัดการของบริษัท Lightrock ที่ถูกก่อตั้งขึ้นโดยราชวงศ์แห่งลิกเตนสไตน์ และ LGT ซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจธนาคารและการจัดการสินทรัพย์ชั้นนำของโลกในด้านธนบดีธนกิจ (Private Banking)และการจัดการสินทรัพย์ (Asset Management) โดยกองทุนมีนโยบายการลงทุนในกลุ่มธุรกิจที่เน้นการแก้ปัญหาโลกร้อนภายใต้บริบทของการดำเนินธุรกิจตามหลักสิ่งแวดล้อม สังคม และการกำกับดูแล (ESG: environmental, social, governance) อาทิ

  • 1) การเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน (Energy Transition) เช่น ธุรกิจพลังงานหมุนเวียน ระบบกักเก็บพลังงานด้วยแบตเตอร์รี่ และการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ
  • 2) การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกภาคอุตสาหกรรม (Decarbonizing Industries) เช่น การดักจับและกักเก็บคาร์บอน และกระบวนการอุตสาหกรรมสีเขียว
  • 3) การขนส่งที่ยั่งยืน (Sustainable Transportation)
  • 4) อาหารและการเกษตรที่ยั่งยืน (Sustainable Food and Agriculture)
  • 5) การนำเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องมาใช้ในการบริหารจัดการธุรกิจ (Enabling Technologies and Solutions) เช่น บริการที่ปรึกษาสำหรับการพัฒนาโครงการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

 

ทั้งนี้การลงทุนใน LCI Fund สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของบริษัทฯ ที่มุ่งเน้นการลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับพลังงานหมุนเวียนและการจัดการสภาพภูมิอากาศ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายของประเทศทั่วโลกในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Greenhouse Gas Emissions) ภายในปี 2050 ทั้งนี้ การลงทุนดังกล่าว ยังเป็นการแสดงเจตนารมณ์ในการสนับสนุนความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ควบคู่ไปกับการให้ผลตอบแทนที่ดีอีกด้วย