เส้นทางชีวิตก่อนเป็นนักลงทุนเต็มตัว

06 ส.ค. 2565 | 18:35 น.
อัปเดตล่าสุด :07 ส.ค. 2565 | 01:44 น.
2.7 k

เส้นทางชีวิตก่อนเป็นนักลงทุนเต็มตัว : บทความโดย ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร นักลงทุนเน้นคุณค่า โลกในมุมมองของ Value Investor

“คนรุ่นใหม่” ที่สนใจในเรื่องของ “การลงทุน” จำนวนไม่น้อยมักจะมี “ความฝัน” ว่า วันหนึ่งเขาจะประสบความสำเร็จ กลายเป็นคนที่มี “อิสรภาพทางการเงิน” และเป็น “นักลงทุนเต็มตัว”  ที่หาเงินเลี้ยงชีพโดยไม่ต้องทำงานประจำ แต่ลงทุนหรือซื้อขายหลักทรัพย์หรือตราสารทางการเงินหรือทรัพย์สินดิจิทัลเป็นหลัก

 

ซึ่งนั่นก็คือสิ่งที่เขา “ชอบ” และเป็น  “อิสรภาพที่แท้จริง” ที่จะทำให้เขา “มีความสุข” เพราะไม่ต้องตรากตรำทำงานหนัก  ไม่ต้องเกี่ยวข้องกับคนอื่นที่ตนเองไม่ชอบ  อยากทำอะไรหรือไปท่องเที่ยวที่ไหนก็ทำได้ในขณะเดียวกันก็  “ไม่รู้สึกเบื่อ” ยังมีชีวิตที่น่าตื่นเต้นเร้าใจเมื่อตลาดหุ้นหรือสิ่งที่ลงทุนขึ้นลงหวือหวาตลอด

 

ผมเองน่าจะถือว่าผ่านจุดที่เป็นความฝันแบบนั้นมานานพอสมควรแล้ว  แต่เป็นการมาถึงที่แทบจะไม่ได้ฝันเลย  จะเรียกว่า “มาโดยบังเอิญ” ก็พูดไม่ได้เต็มปากเช่นกัน  เพราะความฝันแบบนั้นเพิ่งจะเกิดขึ้นในหมู่ของคนรุ่นใหม่ไม่นานมานี้เอง  เหตุผลก็เพราะว่า  ตลาดหุ้นหรือตลาดการลงทุนต่าง ๆ  นั้น เพิ่งจะบูมมาไม่นาน   อาจจะแค่สิบกว่าปีมานี้เอง แม้แต่คำว่าอิสรภาพทางการเงินเองนั้นก็เป็นคำที่ใหม่มาก

 

ผมเองก็ไม่เคยรู้จักจนกระทั่งตัวเอง “เกษียณ”  จากงานประจำไปแล้ว แต่ในเมื่อคนรุ่นใหม่สนใจและอยากเดินทางไปสู่ความฝันนี้  ผมก็เลยอยากที่จะเล่าเรื่องราวชีวิตของผมแบบสั้นที่สุดว่าแต่ละช่วงเป็นอย่างไรเพื่อว่าจะเป็นบทเรียน สำหรับคนที่อยากเดินทางสายนี้
 

 

ผมเองเกิดมาในครอบครัวที่ยากจนมากแต่เนื่องจากเรียนดีใช้ได้และเป็นลูกคนสุดท้อง  จึงมีโอกาสได้เรียนจนจบปริญญาตรีทางด้านวิศวกรรมในมหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศ  ทำให้สามารถหางานทำที่มีเงินเดือนค่อนข้างดีในยุคเกือบ 50 ปีมาแล้วตอนอายุ 22 ปี  มองย้อนหลังกลับไป  ผมเกิดมาก็มีคุณสมบัติเป็น “VI โดยธรรมชาติ” นั่นก็คือ  เป็นคนที่ขยันหาเงินตั้งแต่เด็กประหยัดอดออม  เป็นคนที่ชอบคิดและหาเหตุผล  มีวินัยสูง  และที่สำคัญก็คือ  “ยากจน”

 

ช่วงอายุต่อมาคือ 23-32 ปี เป็นเวลา 10 ปี นั้น  ผมทำงานและเรียนปริญญาโททางด้านบริหารธุรกิจด้านการตลาดไปด้วยในประเทศ  และเรียนปริญญาเอกด้านการเงินที่สหรัฐอเมริกาจนจบและกลับมาเมืองไทยเมื่ออายุ 32 ปี  โดยที่ไม่มีเงินเก็บเลยเพราะต้องใช้ในการเรียนและส่งให้พ่อแม่เป็นค่าใช้จ่ายในครอบครัว  ดังนั้น  นี่คือเวลา 10 ปีที่ใช้ไปกับการ “สะสมความรู้” ที่อาจจะพูดได้อย่างหยาบ ๆ  ก็คือ “ที่ไม่ทำเงิน” มองย้อนหลังกลับไป  ผมเสียเวลาเรียนโดยที่ไม่รู้ว่าจะเอาไปทำอะไร  ผมไปอเมริกาเพราะอยากจะ “เห็นโลก” มากกว่าที่จะอยากรวยหรือประสบความสำเร็จ  แต่ลึก ๆ  ก็คือ  อยากจะมีชื่อว่าเป็น “ด็อกเตอร์” นำหน้าชื่อตัวเอง

 

กลับจากอเมริกาหลังจากเรียนจบและใช้เวลา 4 ปี  ผมก็แต่งงานและเข้าทำงานในสถาบันการเงินที่มีชื่อเสียงในสมัยนั้น  ก่อนที่จะย้ายไปทำงานในบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์เมื่อตลาดหุ้นเริ่มบูมอย่างหนักและบริษัทต้องการคนที่จะเข้ามาเริ่มธุรกิจใหม่โดยเฉพาะการทำ IPO เอาหุ้นเข้าตลาด  การทำงานในช่วงเวลาประมาณ 12 ปี คือตั้งแต่อายุ 33-44 ปี นี้ 

 

 

 

มองย้อนหลังแล้วก็เป็นช่วงชีวิตที่ทำงานและดูแลครอบครัวที่มีลูกเล็ก 1 คน โดยที่งานก็ “ไปเรื่อย ๆ”  เงินที่ได้รับก็ดีใช้ได้โดยเฉพาะในช่วงอยู่บริษัทหลักทรัพย์ที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว ทุกอย่างเหมือนว่าจะ  “อยู่ตัว” แต่ถ้าจะพูดถึง “ความสำเร็จในชีวิต” นั้น  ก็แทบจะไม่มี  พยายาม “ค้นหาตัวตน” ของตนเองก็ดูเหมือนว่าจะไม่พบ  เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ  ตั้งแต่อายุ 28 ที่ “เสี่ยง” เดินทางไปเรียนต่อที่อเมริกาโดย “ไม่มีเงินเลย”  ผมก็ไม่เคยเสี่ยงกับอะไรอีกเลยดังนั้น ผมคิดว่าผมคงทำงานเป็นลูกจ้างไปจนเกษียณ

 

วิกฤติต้มยำกุ้ง 2540 ตอนอายุ 44 ปี ผมก็พบกับ “โชคร้าย”  ซึ่งมองย้อนหลังไปกลับเป็น “โชคดี” ที่ผมต้องถูกให้ออกจากงานในฐานะเป็นผู้บริหารคนหนึ่งของบริษัทที่มีปัญหาและต้องกู้เงินจากแบงก์ชาติ  สถานการณ์ที่อาจจะหางานทำที่เหมาะสมไม่ได้  บังคับให้ผมต้องลงทุนเงิน  “ก้อนสุดท้าย” เพื่อรักษามาตรฐานการดำรงชีวิตของคนในครอบครัว  และหลังจากการวิเคราะห์อย่างถี่ถ้วนแล้วผมก็เลือก “ลงทุนเพื่อชีวิต”  แบบ “VI” ในตลาดหุ้น  ทั้ง ๆ ที่ตลาดหุ้นกำลัง “ล่มสลาย” คน “เลิกเล่นหุ้น”  ปริมาณการซื้อขายหุ้นต่อวันเหลือแค่ 3-4,000 ล้านบาทต่อวัน

 

ผมลงทุนเต็มที่ด้วยเงินทั้งหมดที่เก็บสะสมมา  ส่วนค่าใช้จ่ายประจำวันของครอบครัวนั้น  ผมโชคดีที่ยังมีงานเบา ๆ  เป็นที่ปรึกษาบริษัทสื่อสารให้ทำต่อมาอีก 3 ปี  และเมื่อเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว  ก็กลับมาทำงานในธนาคารพาณิชย์ที่ปรับโครงสร้างเสร็จจากวิกฤติอีก 3-4 ปี  ซึ่งทำให้ผมมีเงินเติมในพอร์ตอีกเป็นเท่าตัว  ส่งผลให้พอร์ตโตขึ้นอีกเท่าตัวเมื่อเทียบกับการเลิกทำงานและลงทุนเพียงอย่างเดียว

 

ผมกลายเป็น  “VI ผู้มุ่งมั่น”  และเป็นผู้เผยแพร่หลักการลงทุนแบบ VI ในประเทศไทยคนแรก  และนี่ก็เป็นสิ่งที่ผม “ฝัน” ว่าจะเป็นถึงอายุ 51 ปี  พอร์ตการลงทุนของผมก็เพิ่มขึ้นจนถึงจุดที่เรียกว่ามีอิสรภาพทางการเงินอย่างสมบูรณ์แล้ว  

 

ประกอบกับงานที่ทำก็ถึงจุดที่ผม “รับไม่ไหว” เพราะมีความเครียดและความเสี่ยงที่สูงมาก  ผมก็ตัดสินใจลาออกจากงานประจำและไม่กลับไปทำอีกเลย จนถึงปัจจุบันก็เป็นเวลา 18 ปีแล้ว  ผมคิดว่าการใช้เวลากับการลงทุนเลือกหุ้นของผมนั้นใกล้เคียงกับของเดิมตอนที่ผมยังทำงานประจำอยู่  เวลาที่ไม่ได้ไปทำงานนั้นถูกใช้ไปในการอ่านและศึกษาเรื่องราวอื่น ๆ  เช่นประวัติศาสตร์  เรื่องของวิวัฒนาการของมนุษย์และพฤติกรรมของเขา  เรื่องของสังคมและการเมืองที่เราสนใจแต่ไม่เข้าใจอีกมากมาย  สิ่งต่าง ๆ  เหล่านี้ผมคิดว่ามันเกี่ยวข้องกับการลงทุนทั้งสิ้น

 

ระยะเวลาของการลงทุน เต็มตัว 25 ปี  นับจากปี 2540 ทำให้พอร์ตโตขึ้นมากมาย “เหนือจินตนาการ” ได้เปลี่ยนชีวิตผมไปอย่างสิ้นเชิง  แต่จริง ๆ  แล้วเป็นการ “เปลี่ยนทีละน้อย” นั่นคือ  ดีขึ้นเล็กน้อย “แบบทบต้น” เกือบทุกปี เช่นเดียวกัน  ความรู้และปรัชญาทางความคิดก็ปรับดีขึ้นทุกปี  ในด้านสังคมก็ได้รับการยอมรับนับถือและมีคนฟังเวลาเราพูดมากขึ้น

 

แต่ทั้งหมดนั้นก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงการใช้ชีวิตประจำวันของผมเลย  ผมยังใช้ชีวิตคล้าย ๆ  กับช่วงเวลาก่อนที่ผมจะเริ่มลงทุนเต็มตัว  นั่นก็คือชีวิตของคน “ชั้นกลางค่อนข้างดี”  ที่เดินทางไปกินอาหารภัตตาคาร  จ่ายตลาดและทำอาหารกินเองบ้าง เดินทางบ่อย ๆ  ด้วยรถไฟฟ้า  ออกกำลังตามสวนสาธารณะและไปเที่ยวต่างประเทศปีละ 2-3 ครั้ง  ดูหนังฟังเพลงในยูทูปและติดตามข่าวสารพัดในสื่อสมัยใหม่  เป็นต้น  

 

โดยที่ความสุขนั้นยังใกล้เคียงของเดิมก่อนที่จะร่ำรวยและแม้แต่ช่วงที่ยังจนอยู่  ซึ่งนั่นก็ทำให้ผมตระหนักว่าเงินซื้อความสุขจริง ๆ  ไม่ได้  แต่ผมก็เชื่อเช่นกันว่าเงินนั้นสามารถซื้อความทุกข์หลายอย่างทางร่างกายและจิตใจที่เกิดขึ้นทิ้งไปได้  และนี่ก็อาจจะเป็นประโยชน์ของเงินจริง ๆ