ธอส.ดันโครงการ บ้านล้านหลังเฟส3 เข้าครม.อังคารนี้

06 มิ.ย. 2565 | 12:02 น.
อัปเดตล่าสุด :06 มิ.ย. 2565 | 19:02 น.
887

ธอส.เตรียมเสนอโครงการ บ้านล้านหลังเฟส3 ในที่ประชุมครม.อังคารนี้ ขยับเพิ่มราคาบ้านจาก 1.2 ล้านบาท เป็น 1.5 ล้านบาท เพื่อขยายฐานสู่ลูกค้าระดับกลาง ให้มีบ้านช่วงเศรษฐกิจชะลอตัว

นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.)เปิดเผยว่า ธอส.จะมีการนำเสนอโครงการ บ้านล้านหลังระยะที่3 (บ้านล้านหลังเฟส3) ให้คณะรัฐมนตรี(ครม.)วันที่ 7 มิถุนายนนี้ พิจารณาเห็นชอบในการปรับเพิ่มราคาบ้านจากเดิมไม่เกิน 1.2 ล้านบาทเป็นไม่เกิน 1.5 ล้านบาท เพื่อขยายฐานลูกค้าไปยังกลุ่มผู้มีรายได้ระดับปานกลางมากขึ้น

นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการธนาคารอาคารสงเคราะห์(ธอส.)

 

“โครงการ บ้านล้านหลังเฟส3 เป็นกลไกรัฐที่ช่วยให้คนมีบ้านในช่วงเศรษฐกิจชะลอตัว ขณะที่ธนาคารพาณิชย์ยังคุมเข้มการปล่อยสินเชื่อ โดยเป็นการดำเนินภายใต้วงเงินในกรอบเดิม 20,000 ล้านบาทในโครงการ บ้านล้านหลังเฟส2 ที่ยังไม่เต็มวงเงิน แต่หากลูกค้าต้องการเพิ่มเติม ธอส.ก็สามารถขยายวงเงินตามความต้องการของลูกค้าได้”นายฉัตรชัยกล่าว

สำหรับเงื่อนไข โครงการ บ้านล้านหลังเฟส3 ยังเป็นเงื่อนไขเดิมของโครงการบ้านล้านหลังเฟส2 โดยผู้สนใจสามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน GHB ALL และกดลงทะเบียนเพื่อรับรหัสเข้าร่วมโครงการ ทำตามขั้นตอนจนเสร็จจะได้รับรหัสตัวเลข 6 ตัว ทาง GHB Buddy บน Application Line เพื่อนำมายื่นขอสินเชื่อได้ วงเงินให้กู้สูงสุดไม่เกิน 1.5 ล้านบาทต่อราย/ต่อหลักประกัน ให้กู้เพื่อซื้อบ้าน หรือห้องชุดที่อยู่อาศัยใหม่ บ้านมือสอง หรือเพื่อปลูกสร้าง และซื้ออุปกรณ์หรือสิ่งอำนวยความสะดวก

 

การผ่อนชำระไม่น้อยกว่า 7 ปี และนานสูงสุดไม่เกิน 40 ปี อายุผู้กู้รวมกับระยะเวลาที่ขอกู้ต้องไม่เกิน 70 ปี ยกเว้น ข้าราชการ ตุลาการ อัยการ หรืออื่นๆ ที่มีอายุเกษียณมากกว่า 60 ปี อายุผู้กู้เมื่อรวมกับระยะเวลาที่ขอกู้ต้องไม่เกิน 75 ปี

 

สำหรับอัตราดอกเบี้ยคงที่ 4 ปีแรกเท่ากับ 1.99% ต่อปี  ปีที่ 5-7 เท่ากับ MRR -2% ต่อปี  ส่วนปีที่ 8 ถึงตลอดอายุสัญญา กรณีลูกค้ารายย่อยทั่วไป เท่ากับ MRR -0.75% ต่อปี กรณีลูกค้าสวัสดิการ เท่ากับ MRR -1% ต่อปี กรณีกู้เพื่อซื้ออุปกรณ์ฯ เท่ากับ MRR โดยปัจจุบันอัตราดอกเบี้ย MRR ของธนาคารอยู่ที่ 6.150% ต่อปี

 

ขณะเดียวกันธอส.ได้หารือกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ผ่อนปรนเงื่อนไขอัตราส่วนสินเชื่อต่อมูลค่าหลักประกัน(Loan-to-value ratio : LTV) เพื่อให้ธอส.ปล่อยกู้ได้เกิน 100% ทำให้การปล่อยกู้ซื้อบ้านคล่องตัวมากขึ้นในภาวะปัจจุบันที่ชาวบ้านมีทุนปรับปรุงหรือต่อเติม การซื้อเฟอร์นิเจอร์ในบ้าน จากเดิมที่สถาบันการเงินไม่สามารถปล่อยกู้ให้เต็ม 100% ได้

 

"เดิมธปท.กำหนด เพดาน LTV ไว้  ทำให้ปล่อยกู้ได้สูงสุด 70-90% ของมูลค่าหลักประกัน ส่วนที่เหลือต้องวางเงินดาวน์ขั้นต่ำ 10-30%  ขณะนี้ได้ผ่อนคลายมาเป็น 100% และขยับเพิ่มเติมอีกเกิน 100% เพื่อ กระตุ้นภาคอสังหาฯได้มากขึ้น"นายฉัตรชัยกล่าว 

 

อย่างไรก็ตาม ธอส. สามารถปล่อยสินเชื่อใหม่ให้คนไทยมีบ้านได้แล้ว 100,000 ล้านบาท ซึ่งนับเป็นปรากฏการณ์ครั้งแรกที่ธนาคารสามารถปล่อยสินเชื่อใหม่ได้เกิน 100,000 ล้านบาท ด้วยระยะเวลาเพียงไม่ถึง 5 เดือนแรกของปี และเป็นจำนวนที่สูงขึ้นถึง 21.17% หากเทียบกับ ณ วันที่ 31 พฤษภาคม 2564 และคาดว่า ณ สิ้นปี 2565 ธอส. จะสามารถปล่อยสินเชื่อใหม่ได้ไม่ต่ำกว่าจำนวน 280,000 ล้านบาท สูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ 226,423 ล้านบาท

 

 

สาเหตุหลักมาจาก สถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 ที่คลี่คลายไปในทิศทางที่ดีขึ้น และตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่มีสัญญาณการฟื้นตัวที่ชัดเจน เนื่องจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภาคอสังหาริมทรัพย์ของรัฐบาล ทั้งการลดค่าจดทะเบียนการโอนและจดจำนอง การผ่อนคลายมาตรการสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย (LTV) ของธปท.และทิศทางอัตราดอกเบี้ยโลกมีแนวโน้มปรับสูงขึ้น ทำให้ประชาชนที่มีความพร้อมด้านรายได้ ตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยในช่วงที่อัตราดอกเบี้ยยังอยู่ในระดับต่ำ