PRINC โชว์งบQ1พลิกกำไร 456 ล้านบาท รับรายได้บริการโควิด-ท่องเที่ยวหนุน

12 พ.ค. 2565 | 09:29 น.
อัปเดตล่าสุด :12 พ.ค. 2565 | 16:30 น.

PRINC งบไตรมาสแรก พลิกมีกำไรสุทธิ 456.6 ล้านบาท โต 363.6% จากงวดเดียวกันปีก่อนที่ขาดทุนสุทธิ 173.2 ล้านบาท และมีรายได้รวม 2 พันกว่าล้านบาท โต 188.4% คงเป้าเติบโตรายได้ปีนี้ 20-25% เหตุสถานการณ์โควิด-19 เริ่มคลี่คลาย และเศรษฐกิจอาจได้รับผลกระทบจากการบริโภคชะลอตัวลง

นายธานี มณีนุตร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท พริ้นซิเพิล แคปิตอล จำกัด(มหาชน) หรือ PRINC ผู้ประกอบธุรกิจบริหารจัดการโรงพยาบาลเอกชนและธุรกิจสุขภาพในนาม ‘เครือพริ้นซิเพิล เฮลท์แคร์’ เปิดเผยถึงผลประกอบการของบริษัทฯในงวดไตรมาสแรกของปี 2565 นี้ว่า 

 

บริษัทฯ และบริษัทย่อยมีรายได้รวม 2,085.1 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 1,362.2 ล้านบาท YoY หรือเพิ่มขึ้น188.4% โดยหากพิจารณาเฉพาะธุรกิจโรงพยาบาลที่มีอยู่เดิม มีรายได้เพิ่มขึ้นถึง1,339.1 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 206.7%) จากทุกโรงพยาบาลมีรายได้สูงขึ้น โดยเฉพาะโรงพยาบาลพริ้นซ์ สุวรรณภูมิ ที่มีรายได้เพิ่มขึ้นถึง 678.4 ล้านบาท ( 897.1%) ส่งผลให้บริษัทฯ มีผลกำไรสุทธิในไตรมาสแรกปีนี้ที่ 456.6 ล้านบาท ซึ่งผลประกอบการสูงขึ้นกว่าไตรมาสเดียวกันของปีที่ผ่านมาถึง 629.8 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 363.6% (ไตรมาสที่ 1 ปี 2564 มีขาดทุนที่ 173.2 ล้านบาท) ซึ่งผลกำไรในไตรมาสแรกเพียงไตรมาสเดียว มากกว่ากำไรสุทธิที่เกิดขึ้นทั้งปีในงวดปี 2564 ที่มีกำไรสุทธิ 92.9 ล้านบาท 

ปัจจัยหลักมาจากการร่วมมือกับภาครัฐดูแลรักษาผู้ป่วยในสถานการณ์โควิด-19 และยังส่งผลให้จำนวนผู้มาใช้บริการทางการแพทย์ประเภท Non Covid-19 พุ่งสูงขึ้นด้วย และปัจจัยหนุนนักท่องเที่ยวต่างชาติและไทยมีจำนวนเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ทำให้ทั้งธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และธุรกิจบริการสุขภาพเติบโตสูงมาก

 

ขณะเดียวกันในปี 2565 นี้ จะรับผลดีเต็มปีจากการรับรู้รายได้การเปิดดำเนินงานโรงพยาบาลอีก 2 แห่งในปีที่ผ่านมา คือ โรงพยาบาลพริ้นซ์ ศรีสะเกษ และ โรงพยาบาลพริ้นซ์ ลำพูน โดยเฉพาะโรงพยาบาลพริ้นซ์ ศรีสะเกษ ที่เปิดดำเนินงานเมื่อวันที่ 1 เมษายน 2564 มีรายได้ในไตรมาสนี้ถึง 56.1 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลมาจากการตรวจและรักษาโควิค -19 ส่วนการขยายโรงพยาบาลยังคงมุ่งเน้นตามแผนรวม 20 แห่งในปี 2567 จากปัจจุบัน 13 แห่ง เปิดดำเนินงานแล้ว 12 แห่งใน 10 จังหวัด รวม 1,124 เตียง

 

และล่าสุดโรงพยาบาลพริ้นซ์ สกลนคร ซึ่งอยู่ระหว่างการก่อสร้าง คาดดำเนินการเปิดให้บริการได้ในปี 2566 และมีแผนเข้าไปบริหารจัดการหรือก่อสร้างใหม่อีกอย่างน้อย 2 แห่ง ทั้งในพื้นที่ภาคใต้และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์ในการขยายการให้บริการของเครือพริ้นซิเพิล เฮลท์แคร์

 

ส่วนแผนการขยายบริการทางการแพทย์เฉพาะทางและธุรกิจสุขภาพอื่นๆ บริษัทฯได้เปิดศูนย์บริการทางการแพทย์ ให้บริการเฉพาะทางในโรคต่าง ๆ อาทิ การร่วมมือกับโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ผ่านบำรุงราษฎร์  เฮลท์เน็ตเวิร์ค ร่วมเปิดศูนย์มะเร็งพิษณุเวชฮอไรซัน โรงพยาบาลพิษณุเวช และยังมีแผนขยายศูนย์การแพทย์เฉพาะทางภายใต้ความร่วมมือดังกล่าวไปยังโรงพยาบาลในเครือฯอื่นๆเพิ่มเติมในปีนี้ 1-2 แห่งอีกด้วย

ขณะเดียวกันยังคงร่วมมือกับ NK Group ประเทศญี่ปุ่น ขยายการให้บริการศูนย์ฟื้นฟูผู้ป่วยและผู้สูงอายุ PRINC Recovery Center and Elder Care เตรียมขยายไปโรงพยาบาลพริ้นซ์ ปากน้ำโพ เป็นแห่งถัดไป หลังจากประสบความสำเร็จที่โรงพยาบาลพริ้นซ์ สุวรรณภูมิ ซึ่งศูนย์เหล่านี้ได้รับการตอบรับดีอย่างมาก และมีส่วนกระตุ้นการเข้ามาใช้บริการเพิ่มมากขึ้น  


พร้อมกันนี้ ยังเร่งขยายคลินิกปฐมภูมิ คลินิกใกล้บ้านใกล้ใจ ตั้งเป้า 40 สาขาในปี 2566 จากปัจจุบันเปิดดำเนินการแล้วทั้งหมด 17 สาขา เป็นกลไกสำคัญในการสร้างการเข้าถึงบริการสาธารณสุขในพื้นที่กรุงเทพฯและปริมณฑลโดยเฉพาะร่วมดูแลผู้ป่วยโควิด Home Isolation กับภาครัฐในช่วงสถานการณ์การระบาดโควิด-19 ที่ผ่านมา หรือแม้แต่การขยายการให้บริการธุรกิจใหม่ Aesthetic & Wellness ‘ผิวดีคลินิก’ (PEWDEE CLINIC) ทั้งหมด 10 สาขาในกรุงเทพและปริมณฑล ดำเนินงานโดยบริษัท ผิวดี เอสเธติคส์ จำกัดในเครือพริ้นซิเพิล เฮลท์แคร์ พร้อมเตรียมยังโรงพยาบาลในเครือฯ 3-4 แห่งในปีนี้ ได้แก่ รพ.พริ้นซ์ สุวรรณภูมิ, รพ.พริ้นซ์ ปากน้ำโพ, รพ.พิษณุเวช และรพ.พริ้นซ์ อุบลราชธานี เป็นต้น

 

อย่างไรก็ตามจากผลประกอบการงวดไตรมาสแรกจะเติบโตอย่างโดดเด่น แต่บริษัทฯ ยังคงกำหนดเป้าหมายการเติบโตแบบอนุรักษ์นิยม คาดหมายรายได้ในปีนี้จะเติบโตระดับ 20-25% จากปี 2564 ที่มีรายได้รวม 5,059 ล้านบาท เนื่องจากประเมินสถานการณ์โควิด-19 น่าจะเริ่มคลี่คลายในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ และด้วยสภาพเศรษฐกิจอาจชะลอตัวจากปัญหาราคาน้ำมันที่พุ่งสูง อาจกระทบต่อการบริโภคของประชาชน 

 

ทั้งนี้ จากปณิธานในการเป็นองค์กรที่พัฒนาคนให้มีจิตใจของความเป็นผู้ให้ที่จะร่วมดูแลทั้งในด้านการสาธารณสุขรวมทั้งสังคมและสิ่งแวดล้อมตามแนวทาง ESG ซึ่งบริษัทฯ ตั้งเป้าหมายการพัฒนาไปสู่โรงพยาบาลยั่งยืน (Sustainable hospital) ในปี 2566 โดยร่วมมือกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยและพันธมิตรในหลายองค์กร ผลักดันกระบวนการการสร้างการมีส่วนร่วมในการดูแลสังคมและสิ่งแวดล้อมควบคู่กับการพัฒนาอย่างยังยืน