หุ้นไทย สัปดาห์หน้าคาดแกว่ง 1,660 - 1,710 จุด จับตาท่าทีเฟด-สงครามยูเครน

09 เม.ย. 2565 | 07:51 น.
อัปเดตล่าสุด :09 เม.ย. 2565 | 15:06 น.

บล.กสิกรไทย มองแนวโน้มตลาดหุ้นไทยสัปดาห์หน้า (11-15 เม.ย. ) ดัชนี SET เคลื่อนไหวในกรอบ 1,660 - 1,710 จุด จับตาทิศทางฟันด์โฟลว์ ถ้อยแถลงเฟด สงครามยูเครน สถานการณ์โควิด-19

บริษัทหลักทรัพย์(บล.)กสิกรไทย จำกัด ประเมินแนวโน้มตลาดหุ้นไทยสัปดาห์หน้า (11- 15 เม.ย. 65) คาดดัชนี SET ( SET Index) มีแนวรับที่ 1,675 และ 1,660 จุด ขณะที่แนวต้านอยู่ที่ 1,700 และ 1,710 จุด ตามลำดับ 

 

โดยปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ สถานการณ์โควิด-19, ทิศทางเงินทุนต่างชาติ สถานการณ์ตึงเครียดระหว่างรัสเซียและยูเครน รวมถึงถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่เฟด 

 

ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ดัชนีราคาผู้บริโภค ดัชนีราคาผู้ผลิต ยอดค้าปลีกและผลผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนมี.ค. ขณะที่ปัจจัยต่างประเทศอื่นๆ ได้แก่ การประชุม ECB ดัชนีราคาผู้ผลิตเดือนมี.ค. ของญี่ปุ่น รวมถึงข้อมูลเศรษฐกิจเดือนมี.ค. ของจีน อาทิ ดัชนีราคาผู้บริโภค ดัชนีราคาผู้ผลิต

การเคลื่อนไหวของหุ้นไทยในสัปดาห์ที่ผ่านมา ( 4- 8 เม.ย.65 ) ดัชนี SET ปรับตัวลงจากสัปดาห์ก่อนหน้า  โดยหุ้นไทยแกว่งตัวในกรอบแคบช่วงต้นสัปดาห์ เนื่องจากขาดปัจจัยหนุนใหม่ๆเข้ามา ขณะที่ปริมาณการซื้อขายเบาบางก่อนวันหยุดช่วงกลางสัปดาห์

 

อย่างไรก็ดี หุ้นไทยร่วงลงในเวลาต่อมาทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นต่างประเทศ หลังรายงานการประชุมเฟดล่าสุดบ่งชี้ว่า เฟดอาจจะเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยและปรับลดงบดุลในการประชุมรอบถัดไป ประกอบกับอัตราเงินเฟ้อเดือนมี.ค. ของไทยพุ่งสูงขึ้น ทั้งนี้แรงขายหลักๆในสัปดาห์นี้มาจากกลุ่มนักลงทุนสถาบันในประเทศ

ในวันศุกร์ (8 เม.ย.ุ65 )ดัชนี SET ปิดที่ระดับ 1,686.00 จุด ลดลง 0.90% จากสัปดาห์ก่อน ขณะที่มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 75,586.84 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.56% จากสัปดาห์ก่อน ส่วนดัชนี mai ลดลง 2.19% มาปิดที่ 657.42 จุด     

 

มูลค่าการซื้อขายแยกตามกลุ่มผู้ลงทุน  

 

  • นักลงทุนต่างประเทศ ซื้อสุทธิ 1,860.51ล้านบาท ( มูลค่าสะสมตั้งแต่ต้นปี 65 ซื้อสุทธิรวม  114,599.93  ล้านบาท )
  • นักลงทุนสถาบันขายสุทธิ 9,792.28 ล้านบาท (มูลค่าสะสมตั้งแต่ต้นปี 65 ขายสุทธิรวม 91,105.30  ล้านบาท )  
  • บัญชีบริษัทหลักทรัพย์ซื้อสุทธิ  711.89 ล้านบาท (มูลค่าสะสมตั้งแต่ต้นปี 65 ซื้อสุทธิรวม 1,443.26  ล้านบาท )
  • นักลงทุนรายย่อยในประเทศซื้อสุทธิ 7,219.87 ล้านบาท ( มูลค่าสะสมตั้งแต่ต้นปี 65 ขายสุทธิรวม  24,937.89 ล้านบาท )