สแตนดาร์ดชาร์เตอร์ดคงคาดการณ์จีดีพี65ที่ 3.3%ต่อปี-3 ปัจจัยหนุนครึ่งหลัง

08 เม.ย. 2565 | 12:56 น.
อัปเดตล่าสุด :08 เม.ย. 2565 | 20:13 น.

SCBT คาดธปท.-กนง.ส่งซิกทิศทางดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมเดือนมิ.ย.-ก่อนปรับขึ้นดอกบี้ยปลายปี66ประเมินเศรษฐกิจไทยฟื้นครึ่งหลังปีนี้ แนะติดตามสถานการณ์เศรษฐกิจโลกและจีน

ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ดคาดธปท.เริ่มส่งสัญญาณทิศทางดอกเบี้ยขาขึ้นในการประชุมเดือนมิถุนายนนี้ ก่อนกนง. จะปรับขึ้นดอกเบี้ยครั้งแรกไตรมาส 3 ปี66

 

ดร.ทิม ลีฬหะพันธุ์ นักเศรษฐศาสตร์ ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ไทย) หรือSCBT เปิดเผยว่า  คงประมาณการการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในปี 2565ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ดยังคงมีมุมมองระมัดระวังต่อเศรษฐกิจไทย  โดยคงประมาณการการเติบโตของเศรษฐกิจไทย(จีดีพี)ไว้ ที่ 3.3%แม้ว่าตอนนี้ตลาดกำลังปรับลดประมาณการ

SCBTมองไปข้างหน้าคาดหวังว่าครึ่งปีหลังของปีนี้เศรษฐกิจไทยปรับตัวดีขึ้นจาก 3องค์ประกอบคือ แนวโน้มภาคท่องเที่ยวที่จะฟื้นตัว  ขณะที่คนไทยน่าจะปรับตัวใช้ชีวิตร่วมกับโควิด-19 สามารถออกมาทำกิจกรรมทางเศรษฐกิจมากขึ้น และถ้าข้อเสนอจากหลายหน่วยงานเกิดขึ้นจริงก็จะมีการกระตุ้นจากภาครัฐ

ทั้งนี้  ประมาณการจีดีพีที่ 3.3% ไม่ได้รวมมาตรการกระตุ้นใหม่ๆ เพราะเรายังไม่แน่ใจว่าจะมีมาตรการกระตุ้นจากภาครัฐหรือไม่ แต่เราติดตามว่าข้อเสนอของหน่วยงานอื่นๆว่าจะเกิดขึ้นจริงหรือไม่   ปัจจุบันสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อจีดีพีอยู่ที่กว่า 60% จึงมีรูมในการก่อหนี้ซึ่งกำหนดเพดานไว้ไม่เกิน 70%ต่อจีดีพี

 

“งานหลักสำคัญในปี 2565 คือการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศ ซึ่งจะส่งผลต่อความต่อเนื่องในการฟื้นตัวในปี 2566 การที่เศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวได้อย่างต่อเนื่องนั้น รัฐบาลอาจต้องเข้ามาช่วยผลักดันมาตรการและนโยบายต่างๆ และหากมองว่าการกู้เงินเพิ่มเพื่อมากระตุ้นเศรษฐกิจอย่างมีประสิทธิภาพมีความจำเป็น ประเทศไทยก็ยังพอมีความสามารถที่จะกู้เงินเพิ่มได้อีก”

 

ดร.ทิมกล่าวว่า การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.)ในรอบเดือนมิ.ย.นี้มีความสำคัญ โดยคาดว่า กนง. น่าจะส่งสัญญาณทิศทางดอกเบี้ยนโยบาย ขาขึ้นแต่กนง.ยังคงดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 0.50%ต่อปีไปจนถึงกลางปี2566 ก่อนจะปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายครั้งแรกประมาณไตรมาสที่ 3ปี 2566

 

อย่างไรก็ตาม การที่กนง.ยังคงดอกเบี้ยนโยบายนั้น  เพราะแนวโน้มเงินเฟ้อที่ยังเพิ่มต่อเนื่อง  ขณะเดียวกันดุลยัญชีเดินสะพัดยังถูกกดดันจากราคาน้ำมัน และจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ยังเข้ามาน้อยคาดว่าสิ้นปีจะอยู่ที่ 4ล้านคน ซึ่งทางธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ดได้ปรับเพิ่มประมาณการเงินเฟ้อปีนี้เป็น 4.5%  ราคาน้ำมันเบรนท์อยู่ในระดับ 80ดอลลาร์ต่อบาเรลตลอดทั้งปีนี้ ซึ่งเป็นอัตราสูงกว่าปีที่แล้วอยู่ที่ 70ดอลลาร์ต่อบาเรล

 

พร้อมปรับลดประมาณการดุลบัญชีเดินสะพัดจะเกินดุลน้อยลงเป็น 0.5%ของจีดีพี(เดิมมองว่าจะเกินดุล1.5%)หรือประมาณ 2,000ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งดีกว่าปีที่แล้วที่ดุลบัญชีเดินสะพัดขาดดุลจากราคาน้ำมันที่ปรับเพิ่มสูง

 

“ต้องติดตามสถานการณ์เศรษฐกิจโลก ดีมานด์โลกด้วย เพราะไม่แน่ใจเศรฐกิจจีน และเศรษฐกิจสหรัฐหลังดอกเบี้ยปรับสูงขึ้นจะทำให้เศรษฐกิจสหรัฐชะลอหรือไม่  และต้องให้เศรษฐกิจไทยเข้มแข็งเพียงพอที่จะรับมือกับการขึ้นดอกเบี้ยได้ก่อน ธปท. จึงจะเริ่มขึ้นดอกเบี้ยได้อย่างไม่เป็นกังวล”

 

อย่างไรก็ดี  ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ดคาดว่าเฟดจะปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายอีกครั้งละ 0.50% ในการประชุมเดือนพฤษภาคม  ตามด้วยเดือนมิถุนายนอีก 0.50%ก่อนที่จะปรับขึ้นอีก 0.25% ในการประชุมเดือนกรกฎาคม

 

“ครึ่งปีหลังยังมองสถานการณ์ทางการเมืองในประเทศ ยังปกติไม่มีความเสี่ยง โดยน่าจะผ่านการพิจารณางบประมาณปี 2566 น่าจะไม่สะดุดและเสร็จสิ้นก่อนการเลือกตั้งทั่วไปจะเริ่มขึ้น ซึ่งรัฐบาลใหม่จะเข้ามาโดยมีงบประมาณใช้จ่ายได้  สำหรับค่าเงินดอลลาร์/บาท ไตรมาส2 น่าจะอ่อนค่ากว่า 33บาทต่อดอลลารจากนั้นจะค่อยๆ แข็งค่าขึ้นต่อไปอยู่ที่ 32บาทต่อดอลลาร์ปลายปีนื้