SCBS ประเมินต้นทุนพลังงานพุ่ง ดันเศรษฐกิจโลก- ไทย เข้าสู่ภาวะ stagflation

07 เม.ย. 2565 | 12:09 น.
อัปเดตล่าสุด :07 เม.ย. 2565 | 19:10 น.

บล.ไทยพาณิชย์ (SCBS) ประเมินวัฏจักรเศรษฐกิจโลกและไทย เข้าสู่ภาวะ stagflation ในช่วง 3-6 เดือนข้างหน้า จากต้นทุนพลังงานพุ่ง ให้เป้าดัชนี SET ปีนี้ที่ 1660 จุด แนะลงหุ้นที่มาร์จิ้นมีเสถียรภาพ คัด 5 หุ้นเด่น AOT BDMS CRC GULF และ PTTEP

นายสุกิจ อุดมศิริกุล กรรมการผู้จัดการ Chief Research Officer บริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จำกัด (SCBS) กล่าวว่า ต้นทุนพลังงานที่พุ่งสูงขึ้น ส่งผลทำให้มีการปรับเปลี่ยนมาใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดมากขึ้น  มีการปรับลดคาดการณ์การเติบโตลง และทำให้เส้นทางการเติบโตทางเศรษฐกิจมีความไม่แน่นอนมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลทำให้วัฏจักรเศรษฐกิจเปลี่ยนจากภาวะ reflation เข้าสู่ ภาวะ stagflation

 

ทั้งนี้แม้ว่าโอกาสเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยในปี 2022 จะมีมากขึ้น แต่จะเกิดภาวะถดถอยที่ไม่รุนแรงเนื่องจากเศรษฐกิจโลกในปัจจุบันไม่ได้มีความไม่สมดุลมากจนต้องแก้ไขให้เกิดความสมดุลควบคู่ไปกับการผ่อนคลาย ข้อจำกัดการเดินทางและการเปิดประเทศ

 

 เป้า SET Index ปี 2022 อิงกับปัจจัยพื้นฐานอยู่ที่ 1660 จุด เข้าซื้อที่ 1550 - 1600 จุด ขณะที่ระดับขายทำกำไรอยู่ที่สูงกว่า 1780 จุด โดยคาดว่า SET จะปรับฐานเล็กน้อยในไตรมาส 2/65 เพื่อซึมซับความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะ stagflation ขณะที่ 2H65 จะมีโมเมนตั้มที่ดีขึ้นซึ่งได้รับการสนับสนุนจากการเปิดประเทศและการฟื้นตัวหลัง COVID-19 คลี่คลาย ประกอบกับฐานต่ำของปีก่อนมีโอกาสสูงที่จะเกิดเหตุการณ์ Sell in May โดยการย่อตัวลงเป็นโอกาสที่ดีในการสร้าง position เนื่องจากเศรษฐกิจไทยดูเหมือนจะเกิดภาวะ quasi - reflation ใน 2H65

ด้านเศรษฐกิจไทยผลกระทบจากวิกฤตรัสเซียโดยตรงอาจไม่มากนัก แต่ผลกระทบโดยอ้อมผ่านราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นจะกระทบกับเงินเฟ้อและนโยบายการเงินมากกว่า วิกฤตพลังงานทำให้เศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยมีความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะ stagflation ในอีก 3-6 เดือนข้างหน้า นโยบายการเงินที่เข้มงวดมากขึ้นเป็นความเสี่ยงด้านนโยบายที่อาจส่งผลทำให้เศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะถดถอยในอีก 12 เดือนข้างหน้า เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มที่จะขยายตัวในอัตราต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ที่ 3.63% ในขณะที่ความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะ stagflation ย่อมมีมากขึ้น 
 

ส่วนความเสี่ยงด้านการส่งผ่านทางการเงินมีแนวโน้มที่จะอยู่ในระดับที่สามารถจัดการได้ แต่ความเสี่ยงในการโอนย้ายและการปรับโครงสร้างพอร์ตลงทุนอาจต้องใช้เวลาในการจัดการ SCBS มองว่าหุ้นเชิงรับจะปรับตัว outperform ได้อย่างต่อเนื่อง หุ้นพลังงานต้นน้ำเป็นตัวเลือกที่ดีในการป้องกันความเสี่ยงจากภาวะเงินเฟ้อสูง โดยยังคงชอบหุ้นคุณภาพที่มีค่า beta ต่ำเพื่อลดผลกระทบจากความผันผวน

 

SCBS ประเมินต้นทุนพลังงานพุ่ง ดันเศรษฐกิจโลก- ไทย เข้าสู่ภาวะ stagflation

กลยุทธ์การลงทุน มองภาพรวมปี 2565 เน้นไปที่ธีมมหภาคและจุลภาคประกอบด้วย  

 

  • 1) หุ้นที่มีอำนาจในการกำหนดราคาสูง (มาร์จิ้นสูงและมีเสถียรภาพ)
  • 2) หุ้นที่ได้ประโยชน์จากการเปิดประเทศ
  • 3) หุ้นเติบโตที่มีราคาสมเหตุสมผล และ
  • 4) หุ้นคุณภาพ

 

ให้น้ำหนักการลงทุนในหุ้นเชิงรับ เพื่อยึดหลักความระมัดระวังในช่วงที่มีความไม่แน่นอนค่อนข้างสูงโดยเชื่อว่าหุ้น domestic ที่มีอำนาจในการกำหนดราคาสูงและงบดุลแข็งแรงน่าจะได้รับความสนใจมากกว่าหุ้นที่อิงกับวัฏจักรเศรษฐกิจโลก ซึ่งมีแนวโน้มที่จะได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกหนักกว่าหุ้น domestic นอกจากนี้ยังมุ่งเน้นไปที่หุ้นที่สามารถรับมือกับราคาน้ำมันและเงินเฟ้อสูง โดยหุ้นเด่นในไตรมาส2/65 คือ AOT BDMS CRC GULF และ PTTEP

 

สรุปประเด็นการลงทุนของหุ้นรายตัว

 

AOT : เป็นตัวแทนของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย ซึ่งคาดผลการดำเนินงานจะฟื้นตัวดีขึ้นจากแผนเดินหน้าสู่การเปิดประเทศ ขณะที่ Valuation น่าสนใจ หลังราคาหุ้นปัจจุบันยังเทรดต่ำกว่าก่อนเกิด COVID-19 อยู่ 12%

 

BDMS : ทนทานความผันผวนของตลาดได้ดีและมีพื้นฐานแกร่ง โดยปี 65 คาดกำไรเติบโต 21%YoY จากจำนวนผู้ป่วย ทั้งไทยและต่างชาติที่เพิ่มขึ้นหลังจากสถานการณ์ COVID-19 คลี่คลาย

 

CRC : คาดผลประกอบการมีแนวโน้มเติบโตดีที่สุดในกลุ่มพาณิชย์ในปี 2565 จากยอดขายค้าปลีกและรายได้ค่าเช่าที่ฟื้นตัว การขยายสาขาเชิงรุก และอัตรากำไรที่ปรับตัวดีขึ้นตามเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวและไม่มีการล็อกดาวน์

 

GULF : แนวโน้มกำไรขยายตัวต่อเนื่องจากกำลังการผลิตของโรงไฟฟ้าใหม่ IPP ที่มีความเสี่ยงต่ำด้านต้นทุนพลังงานและการขยายธุรกิจไปยังธุรกิจใหม่ ๆ โดยเฉพาะธุรกิจดิจิทัล 

 

PTTEP : ได้ประโยชน์จากราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้น ล่าสุดราคาน้ำมันดิบ Brent +5.3%DoD WTI +5.2%DoD หลังตลาดกังวลอุปทานน้ำมันตึงตัวจากการระงับส่งออกน้ำมันของบริษัท CPC ในคาซัคสถานซึ่งเสียหายจากพายุ