แม่ทัพใหม่ บสย.“สิทธิกร ดิเรกสุนทร” กับภาระกิจท้าทาย “เป็นที่หนึ่งในใจ SMEsเพิ่มโอกาสการเข้าถึงสินเชื่อทุกมิติ ชูดิจิทัลเทคโนโลยี ยกระดับองค์กร สร้างนวัตกรรมค้ำประกันสินเชื่อ ผ่านรูปแบบ “Hybrid Guarantee”
นายสิทธิกร ดิเรกสุนทร กรรมการและผู้จัดการทั่วไป บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เปิดเผยทิศทางและแผนดำเนินงาน บสย. ปี 2565 โดยระบุว่า บสย.พร้อมยกระดับองค์กรก้าวสู่ ดิจิทัล แพลตฟอร์ม ภายใต้แนวคิด “TCG Fast & First” รวดเร็ว รอบคอบ เป็นที่หนึ่งในใจ SMEs
โจทย์ใหญ่ในวันนี้คือ โลกที่เปลี่ยนเร็ว โมเดลแบบเดิมไม่ตอบโจทย์การดำเนินธุรกิจในอนาคต การขับเคลื่อนองค์กรด้วย digital Technology สร้าง Financial Platform เป็นเครื่องมือการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการของ บสย.
เข้าถึงทุกกลุ่มเป้าหมาย รับการเปลี่ยนแปลงของโลกธุรกิจในปัจจุบัน ครอบคลุมถึงการขยายบทบาท บสย. สู่ Digital Credit Enhancer เพื่อเพิ่มโอกาสการเข้าถึงแหล่งทุนให้ผู้ประกอบการ SMEs ภายใต้กลยุทธ์ 3 N ได้แก่
ในส่วนของ แผนดำเนินงาน ปี 2565 บสย. ให้ความสำคัญกับ 4 แนวทางคือ
นายสิทธิกร กล่าวถึง ผลประกอบการปี 2564 บสย. สร้างสถิติค้ำประกันสูงสุดในรอบ 29 ปี วงเงิน 245,548 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 73 เทียบกับปี 2563 สามารถช่วยผู้ประกอบการ SMEs จำนวน 226,312 ราย เพิ่มขึ้นร้อยละ 36 ก่อให้เกิดสินเชื่อเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจไทย มูลค่า 261,545 ล้านบาท หรือ 1.06 เท่าของยอดการค้ำประกัน และเกิดการจ้างงานใหม่ มากกว่า 400,000 ตำแหน่ง รักษาการจ้างงาน มากกว่า 2,000,000 ตำแหน่ง
ผลดำเนินงานค้ำประกันสินเชื่อ ปี 2564
1.สร้างสถิติค้ำประกันสูงสุดในรอบ 29 ปี วงเงิน 245,548 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 73 เทียบกับปี 2563
2.ช่วยผู้ประกอบการ SMEs จำนวน 226,312 ราย เพิ่มขึ้นร้อยละ 36
3.ก่อให้เกิดสินเชื่อเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจไทย มูลค่า 261,545 ล้านบาท หรือ 1.06 เท่าของยอดการค้ำประกัน
4.เกิดการจ้างงานใหม่ มากกว่า 400,000 ตำแหน่ง
5.รักษาการจ้างงาน มากกว่า 2,000,000 ตำแหน่ง
ปีที่ผ่านมา บสย.ได้ช่วยผู้ประกอบการ SMEs ในระบบกว่า 3 ล้านราย เข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบ ร้อยละ 22.52 ผ่านโครงการค้ำประกันสินเชื่อต่างๆ ได้แก่
1.โครงการค้ำประกัน PGS 9 จำนวน 81,721 ล้านบาท ร้อยละ 33.30
2.โครงการค้ำประกัน Micro 4 เพื่อผู้ประกอบการรายย่อย จำนวน 20,527 ล้านบาท ร้อยละ 8.40
3.โครงการค้ำประกันสินเชื่อตามพระราชกำหนดสินเชื่อฟื้นฟู ธนาคารแห่งประเทศไทย วงเงิน 130,943 ล้านบาท ร้อยละ 53.30
4.โครงการอื่นๆ ของ บสย. จำนวน 12,356 ล้านบาท ร้อยละ 5
ความสำเร็จด้านการบริหารจัดการการค้ำประกันสินเชื่อ ได้แก่
1.ช่วยผู้ประกอบการรายย่อย (Micro) มากสุดเป็นประวัติการณ์ จำนวน 209,192 ราย
2. ช่วยผู้ประกอบการ SMEs ขนาดกลางและขนาดเล็ก อีกจำนวน 20,236 ราย
3.เพิ่มบทบาท บสย. ช่วยผู้ประกอบการ SMEs กลุ่มฐานราก
4.ช่วยผู้ประกอบการกลุ่มเปราะบาง กลุ่มลูกหนี้ บสย. อาทิ พักหนี้ ยืดระยะเวลาการชำระค่าธรรมเนียมค้ำประกันสินเชื่อ ในโครงการค้ำประกันสินเชื่อ PGS 9 SMEs ไทยสู้ภัยโควิด, PGS 9 SMEs ค้ำจุน และ Micro 4 ไทยสู้ภัยโควิด ได้อีกจำนวน 30,786 ราย ในวงเงิน 16,512 ล้านบาท
5.เสริมสร้างผู้ประกอบการ ให้มีระบบการบริหารจัดการที่ดีและเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ ผ่านโครงการ SMEs บัญชีเดียว ส่งเสริมผู้ประกอบการ SMEs เข้าสู่ระบบฐานภาษีอย่างถูกต้อง โดยมีลูกค้า ร่วมโครงการจำนวน 1,540 ราย
ความสำเร็จด้านการให้บริการเพื่อพัฒนาศักยภาพและยกระดับขีดความสามารถของ SMEs
มีผู้ลงทะเบียนขอรับคำปรึกษาและอบรมหลักสูตรต่างๆ 3,687 ราย และขอรับคำปรึกษาผ่านศูนย์ที่ปรึกษาทางการเงิน SMEs หรือ บสย. F.A.Center จำนวน 1,611 ราย สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนจากการช่วยเหลือเพื่อเตรียมความพร้อม และนำส่งธนาคาร ร้อยละ 35.64 ผ่านช่องทางต่างๆ รวมถึงการให้คำปรึกษา SMEs ภายใต้โครงการหมอหนี้เพื่อประชาชน โดย บสย. ร่วมมือกับธนาคารแห่งประเทศไทย จำนวน 118 ราย
ความสำเร็จด้านการดำเนินมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ บสย.เพื่อบรรเทาภาระ และลดต้นทุนธุรกิจ เพื่อให้ยืนได้และไปต่อ ท่ามกลางสถานการณ์เศรษฐกิจถดถอย ในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ได้แก่ มาตรการ ผ่อนน้อย เบาแรง สามารถช่วยลูกหนี้ SMEs สะสมถึงสิ้นปี 2564 ได้ถึง 3,161 ราย
นอกจากนี้ บสย. ยังมีความโดดเด่นด้านการบริหารจัดการค่าใช้จ่ายการดำเนินงาน โดยมีสัดส่วนค่าใช้จ่ายต่อค่าใช้จ่ายการดำเนินงานต่อรายได้การดำเนินงาน (Cost-to-Income ratio) ร้อยละ 6.53 และอัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (BIS Ratio) ร้อยละ 32.58 ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของธนาคารพาณิชย์ (ไตรมาสที่ 3/2564) ร้อยละ 19.90 โดยมีกำไรสุทธิ 820 ล้านบาท
และในปี 2564 บสย.ได้รับรางวัลเกียรติยศ รางวัลชมเชยองค์กรโปร่งใส ครั้งที่ 10 (NACC Integrity Awards) จากสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ปปช.) ซึ่งเป็นรางวัลองค์กรโปร่งใส ที่ บสย. ได้รับติดต่อกัน 3 ปีซ้อน สะท้อนผลลัพธ์ความเป็นเลิศแห่งคุณธรรม จริยธรรมและความซื่อตรง และบริหารจัดการด้วยหลักธรรมาภิบาลตลอดมา