ดาวโจนส์ปิดร่วง 503 จุด วิตกความขัดแย้งรัสเซีย-ยูเครน เฟดขึ้นดอกเบี้ย

12 ก.พ. 2565 | 06:56 น.
อัปเดตล่าสุด :12 ก.พ. 2565 | 14:02 น.
541

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลดลง 503.53 จุดในวันศุกร์ (11 ก.พ.) นักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับความตึงเครียดระหว่างรัสเซียและยูเครน รวมถึงความกังวลเกี่ยวกับเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นของสหรัฐ ผลักดันให้เฟดเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 34,738.06 จุด ลดลง 503.53 จุด หรือ -1.43%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,418.64 จุด ลดลง 85.44 จุด หรือ -1.90% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 13,791.15 จุด ลดลง 394.49 จุด หรือ -2.78% ในรอบสัปดาห์นี้ ดัชนีดาวโจนส์ ลดลง 1%, ดัชนี S&P500 ลดลง 1.8% และ Nasdaq ร่วงลง 2.2%
          

หุ้น 9 ใน 11 กลุ่มของดัชนี S&P500 ปรับตัวลง นำโดยหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีที่ลดลง 3% และหุ้นกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยลดลง 2.8% แต่หุ้นกลุ่มพลังงานพุ่งขึ้น 2.8% สวนทางตลาด เนื่องจากราคาน้ำมันพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 7 ปี

นักลงทุนมีความวิตกอยู่แล้วเกี่ยวกับเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นของสหรัฐนั้น นักลงทุนได้พากันเทขายหุ้นออกมามากขึ้น หลังจากสหรัฐเตือนว่า รัสเซียมีกำลังทหารเพียงพอที่จะเปิดฉากบุกโจมตียูเครน และอาจจะเริ่มขึ้นในไม่กี่วันข้างหน้านี้
        

ตลาดหุ้นนิวยอร์กลดลงต่อเนื่องจากวันพฤหัสบดี โดยถูกกดดันจากข้อมูลเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้น 7.5% ในเดือนม.ค. ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นรายปีมากที่สุดในรอบ 40 ปี

นายเจมส์ บูลลาร์ด ประธานเฟดสาขาเซนต์หลุยส์ได้ส่งสัญญาณสนับสนุนให้เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยมากถึง 1% ภายในเดือนก.ค.นี้ ได้ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนด้วย
          

บรรดาเทรดเดอร์ปรับตัวรับโอกาสที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.5% ในเดือนมี.ค. และคาดว่าอัตราดอกเบี้ยจะอยู่ในช่วง 1.75-2% ภายในสิ้นปีนี้
          

มหาวิทยาลัยมิชิแกนเปิดเผยผลสำรวจในวันศุกร์ระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐปรับตัวลงสู่ระดับ 61.7 ในเดือนก.พ. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 2554 จากระดับ 67.2 ในเดือนม.ค. และต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 67.5
          

ดัชนีความผันผวน CBOE หรือ CBOE Volatility Index (VIX) ซึ่งเป็นมาตรวัดความวิตกของนักลงทุนในตลาดหุ้นวอลล์สตรีท ดีดตัวขึ้นเป็นวันที่สองติดต่อกัน และแตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่สิ้นเดือนม.ค.
          

การเตือนเกี่ยวกับผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนถ่วงหุ้นรายตัวลงด้วย โดยหุ้นอาร์เมอร์ อิงค์ ร่วง 12.5% หลังเตือนว่าผลกำไรของบริษัทจะเผชิญแรงกดดันในไตรมาสปัจจุบัน