ศาสตราจารย์ อาร์ตูโร บริส ผู้อำนวยการสถาบัน IMD World Competitiveness Center ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งเป็นองค์กรจัดทำดัชนีชี้วัดการแข่งขันของประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก ได้บรรยายพิเศษ เรื่อง "Thailand and countries in Asia competitiveness and how the countries and C.P.Group should strategically plan for the next decade" ที่ห้องประชุม Auditorium ชั้น 6 ตึก Pegasus ทรู ดิจิทัล พาร์ค ให้กับผู้บริหารเครือเจริญโภคภัณฑ์
ศ.อาร์ตูโรกล่าวว่า ขณะนี้ว่า ขีดความสามารถในการแข่งขันของแต่ละประเทศทั่วโลกกำลังเปลี่ยนไป ไม่ได้เน้นที่ GDP เป็นหลักเหมือนในอดีต แต่คำนึงถึงการเติบโตที่มีคุณภาพชีวิต ความยั่งยืน การกระจายความมั่งคั่ง เพื่อตอบให้ได้ว่า คุณภาพชีวิตประชากรในประเทศจะดีขึ้น โดยปัจจัยสำคัญที่จะเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศมี 3 ประการ คือ 1.รัฐบาลต้องบริหารและกำกับกิจการที่มีประสิทธิภาพ 2.ความสามารถของภาคธุรกิจเอกชนในการบริหารทรัพยากรบุคคลให้มีความสามารถสูง 3.ความสามารถขององค์กรธุรกิจในการสร้างนวัตกรรม
ทั้งนี้จากข้อมูลของ IMD ที่ทำดัชนีชี้วัดขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศต่างๆ จากการสำรวจเขตเศรษฐกิจทั้งหมด 63 ประเทศทั่วโลก พบว่า บริษัทเอกชนขนาดใหญ่ที่มีเสถียรภาพมากนั้น มีทั้งส่วนที่เป็น Value Company และ Growth Company ที่มีบทบาทในการสร้างเศรษฐกิจและมูลค่าให้ประเทศ ดังนั้นจะเห็นว่าภาคเอกชนของแต่ละประเทศเป็นส่วนสำคัญในการช่วยสนับสนุนรัฐขับเคลื่อนเศรษฐกิจและเพิ่มขีดความสามารถด้านการแข่งขันให้ประเทศ
สำหรับประเทศไทยนั้น พื้นฐานเศรษฐกิจมีศักยภาพเพียงพอที่จะเพิ่มขีดการแข่งขันได้อีก โดยปัจจัยสำคัญอยู่ที่รัฐบาลและภาคธุรกิจเอกชนต้องมีประสิทธิภาพที่ดีทั้งคู่ เพื่อทำให้ประเทศมีเศรษฐกิจดีขึ้น ดังนั้นภาคธุรกิจเอกชนชั้นนำจึงมีบทบาทสำคัญที่จะช่วยอย่างคู่ขนานให้กับเศรษฐกิจประเทศไทย ทั้งรัฐบาลและเอกชนจะต้องมีเป้าหมายและวิสัยทัศน์ในการพัฒนาประเทศร่วมกัน และที่สำคัญต้องพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลให้เท่าเทียม
“การจะสร้างระบบเศรษฐกิจที่มีประสิทธิภาพได้นั้น รัฐบาลต้องสวมบทบาทผู้นำโดยมีเอกชนมาร่วมหนุนในฐานะผู้ตาม เพื่อสนับสนุนการขับเคลื่อนของรัฐซึ่งจะเป็นกลไกสำคัญให้เศรษฐกิจของประเทศมีความมั่งคั่ง โดยเฉพาะเป็นความมั่งคั่งด้านคุณภาพชีวิตของประชากรที่ดีขึ้น ซึ่งส่วนนี้เป็นสิ่งที่ภาคธุรกิจเอกชนจะมีส่วนช่วยประเทศได้ เพราะถ้าประเทศมั่งคั่งและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ธุรกิจเอกชนก็ประสบความสำเร็จด้วยเช่นกัน” ผอ.สถาบัน IMD กล่าว
ศ.อาร์ตูโร ยังกล่าวถึงแนวทางการสร้างประสิทธิภาพทางเศรษฐกิจของประเทศที่เหมาะสมต้องไม่ใช้วิธีกีดกันทางการค้า (Protectionism) หรือเลือกใช้วิธีอุดหนุนจากรัฐ (Subsidies) หรือใช้กรณีเพิ่มผลิตภาพ (Increase Productivity) ไปจนถึงมาตรการด้านภาษี (Taxes) เพียงอย่างเดียว แต่การสร้างประสิทธิภาพด้านเศรษฐกิจที่ดี ควรใช้วิธีสร้างงานให้เกิดขึ้นในประเทศ (Focus on job creation) ผสมผสานกับการที่รัฐใช้งบประมาณอัดฉีดในบางจุด รวมทั้งมีระบบประกันรายได้ขั้นต่ำร่วมด้วยบ้าง (Minimum Guaranteed Income) พร้อมกันนั้นต้องดึงภาคเอกชนให้เข้ามามีบทบาทสำคัญในการสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ ให้สังคมและประเทศ ทั้งหมดนี้จะช่วยทำให้ทรัพยากรกระจายตัวยิ่งขึ้น เพิ่มทั้งความมั่งคั่งให้ประเทศและความมั่งคั่งด้านคุณภาพชีวิตของประชาชน
“จะเห็นได้ว่าพัฒนาการของไทยตลอด 20 ปี ที่ผ่านมา เรื่องความสามารถในการแข่งขัน ไทยเน้นความสามารถในภาคการผลิตซึ่งทำได้ดีขึ้น สิ่งสำคัญคือขีดความสามารถเหล่านี้ต้องแปรให้เป็นนโยบายสู่มวลชนได้ด้วย ดังนั้นบทบาทสำคัญของธุรกิจเอกชนคือการจ้างงานให้กลไกเศรษฐกิจหมุนเวียน พิจารณาปรับขึ้นค่าจ้างให้แรงงานได้รับค่าจ้างที่ดีมีรายได้ที่เพิ่มขึ้น และมีศักยภาพที่จะจ่ายภาษี ซึ่งจะกลับสู่รัฐ และรัฐนำงบประมาณกลับมาพัฒนาประเทศในด้านต่าง ๆ ดังนั้น นอกจากเอกชนจะลงทุนในเซคเตอร์ที่ถูกต้องแล้ว ภาครัฐต้องมีการช่วยเหลือด้านภาษี ดึงดูดการลงทุนเข้าสู่ประเทศ ทั้งหมดนี้จะเป็นระบบที่ช่วยทำให้ประเทศไทยมีความสามารถในการแข่งขันสูงขึ้นในอนาคต”
สำหรับเครือเจริญโภคภัณฑ์ การเลือกเส้นทางความยั่งยืน เป็นเป้าหมายสำคัญขององค์กรเช่นนี้ต่อไป เพราะเป็นตัวอย่างที่ทำให้เห็นว่าเป็นองค์กรธุรกิจชั้นนำที่มีบทบาทสำคัญในการร่วมขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ในฐานะผู้นำความยั่งยืนของประเทศ ซึ่งถือเป็นจุดแข็งของเครือฯ มีการวางเป้าหมายทางธุรกิจที่ไม่ผลักภาระไปสู่ผู้บริโภค เพราะอนาคตประเด็นความยั่งยืนจะเป็นวาระสำคัญในระบบการตลาด