รศ.ดร. สังศิต พิริยะรังสรรค์ อดีตสมาชิกวุฒิสภา ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ถึงประเด็นกาสิโนใต้เงามืดว่า สรรพสิ่งทั้งหลายในโลก ทั้งคน พืช สัตว์ สิ่งของและกาสิโน ล้วนแล้วแต่มีด้านที่เป็นประโยชน์ และด้านที่เป็นโทษอยู่ในตัวทั้งสิ้น
สุดแต่ว่าสิ่งนั้นจะถูกนำไปใช้เพื่ออะไร เพื่อใคร และสิ่งนั้นจะแสดงบทบาทด้านบวกหรือด้านลบออกมาอย่างไรขึ้นอยู่กับว่าสิ่งนั้นจะถูกนำมาใช้ภายใต้ปัจจัยและเงื่อนไขอะไร
กาสิโนเฉกเช่นเดียวกับสรรพสิ่งในโลกนี้ ที่มีทั้งด้านที่เป็นประโยชน์และด้านที่เป็นโทษต่อสังคม ภายใต้สถานการณ์ที่เหมาะสม กาสิโนอาจช่วยเหลือเศรษฐกิจของประเทศได้
ในทางตรงกันข้าม ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่เหมาะสม หากนำมาใช้ มันสามารถทำลายเศรษฐกิจของประเทศให้ล่มจม ได้เช่นเดียวกัน
นอกจากนี้กาสิโนจะเป็นพลังด้านบวกและเป็นประโยชน์ต่อประเทศได้ก็ต่อเมื่อมันอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่ระบบการเมือง และระบบราชการดี รัฐบาลไม่มุ่งหาผลประโยชน์ส่วนตัวจากกาสิโน แต่คำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศมากกว่า ดังเช่นกาสิโนที่เกิดขึ้นในประเทศมาเลเซียและสิงคโปร์ เป็นต้น
รศ.ดร. สังศิต ระบุอีกว่า แต่ถ้ากาสิโนเกิดขึ้นภายใต้เงื่อนไขของระบบการเมืองและระบบราชการที่ขาดธรรมาภิบาลอย่างร้ายแรง นักการเมือง มุ่งแสวงหาผลประโยชน์จากคาสิโนให้แก่ตัวเองและพวกพ้อง กาสิโนสามารถจะแสดงบทบาทด้านลบออกมาได้เช่นเดียวกัน ดังที่เกิดขึ้นแล้วในประเทศอาเซียนรอบๆ ประเทศไทย
นโยบายการสร้างกาสิโนของรัฐบาลทุกประเทศเท่าที่ผ่านมา รวมทั้งของรัฐบาลไทยในขณะนี้ มีวัตถุประสงค์เหมือนกันหมด คือต้องการเม็ดเงินลงทุนจากธุรกิจภาคเอกชน
ไม่ว่าจะมาจากทุนต่างประเทศหรือในประเทศก็ตาม เพื่อให้เศรษฐกิจในประเทศมีการเจริญเติบโตมากขึ้น นี่เป็นตรรกะของเศรษฐกิจตลาดหรือเศรษฐกิจทุนนิยม ที่ไม่ว่าใครมาเป็นรัฐบาลก็คิดคล้ายๆ กัน
การทำให้เศรษฐกิจภายในประเทศมีการเจริญเติบโตขึ้นเป็นสิ่งที่เข้าใจได้ แต่สิ่งที่ผู้นำของรัฐบาลที่มีจิตใจแบบชาตินิยมที่ต้องการเห็นประเทศของตนเองเจริญรุ่งเรืองแบบยั่งยืน จำเป็นต้องตระหนักตั้งแต่เริ่มต้นก็คือ การดำเนินนโยบายทางด้านเศรษฐกิจที่ยึดถือหลักคุณธรรม และการยึดถือผลประโยชน์ของประเทศเป็นที่ตั้งมากยิ่งกว่าผลประโยชน์ของตนเอง
รศ.ดร. สังศิต ระบุต่อว่า หากรัฐบาลยึดถือหลักคุณธรรมทางด้านเศรษฐกิจ รัฐบาลต้องแสดงให้เห็นถึงความซื่อสัตย์สุจริตในการแสดงออก และการกระทำว่าสิ่งที่รัฐบาลดำเนินการอยู่นั้นเป็นไปอย่างเปิดเผย โปร่งใส เชื่อถือได้ ไม่มีสิ่งใดที่รัฐบาลปิดบังซ่อนเร้นประชาชนไว้
ดังนั้นประการแรก หากรัฐบาลต้องการทำกาสิโนหรือการพนันที่ถูกกฎหมาย รัฐบาลควรออกเป็น “พระราชบัญญัติกาสิโน“ ไม่ใช่ ”พระราชบัญญัติสถานบันเทิงครบวงจร“ เพราะการกระทำดังกล่าวของรัฐบาล เป็นการบิดเบือนและซ่อนเร้น ความต้องการที่แท้จริงของรัฐบาลเอาไว้
ถึงแม้รัฐบาลจะกล่าวอ้างว่าพื้นที่ของสถานกาสิโนมีไม่เกิน 10% ของพื้นที่ทั้งหมด แต่ความเป็นจริงแล้วกาสิโนเป็นที่มาของรายได้ราว 70% ของรายได้ทั้งหมดของสถานบันเทิงครบวงจร กิจกรรมบันเทิงอื่นๆที่เหลือทั้งหมด ที่ใช้พื้นที่ราว 95% สามารถสร้างรายได้ราว 30% เท่านั้น
ประการที่สอง การกำหนดให้มีคณะกรรมการนโยบายสถานบันเทิงครบวงจร ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน และมีนักการเมืองเป็นกรรมการอีก จำนวนหนึ่งมี “อำนาจ” การออกใบอนุญาต ใบละหนึ่งหมื่นล้านบาท จำนวนอย่างน้อย 10 แห่ง
กฎหมายยังเปิดช่องให้ ออกใบอนุญาตได้มากกว่านั้นอีกในอนาคต การให้อำนาจในการใช้ดุลยพินิจอย่างเลยเถิด โดยขาดหลักธรรมาภิบาลแก่ คณะกรรมการฯในกรณีนี้จะสร้างปัญหาความวุ่นวาย ทางการเมืองให้กับประเทศไทย เป็นอย่างมากในอนาคต
หากเราใช้ประสบการณ์ของประเทศสิงคโปร์ จะพบว่า จำนวนกาสิโนถูกกำหนดไว้ในกฎหมาย ซึ่งทำให้ไม่มีบุคคลใดสามารถใช้ดุลยพินิจอนุมัติการสร้างคาสิโนเพิ่มเติมได้อีก
ส่วนการกำหนดให้เงินรายได้จากการขายใบอนุญาตกาสิโน ซึ่งคาดว่าจะมีอย่างน้อยที่สุด 100,000 ล้านบาท เข้าไปที่กองทุนของสถานบันเทิงครบวงจร อาจทำให้การใช้จ่ายเงินของกองทุนนี้เป็นไปโดยไม่สุจริต และถูกนำไปใช้ในโครงการที่เกี่ยวข้องกับการเมือง กลายเป็นแหล่งเงินทุนของพรรคการเมืองฝ่ายรัฐบาล ทำให้ระบบการเมืองและราชการเสื่อมทรามเลวร้ายลงมากกว่าเดิม
ฟากสิงคโปร์แก้ปัญหาภาพรวมของการพนันโดยการตั้งคณะกรรมการการพนันระดับชาติ ซึ่งทำหน้าที่ดูแลปัญหาในภาพรวมของประเทศ แต่คณะกรรมการชุดนี้ไม่มีผลประโยชน์ใดๆ เกี่ยวข้องเลย ซึ่งแตกต่างจากคณะกรรมการนโยบายสถานบันเทิงวงจรของไทย
ประการที่สาม การกำหนดให้มีสถานบันเทิงครบวงจรถึง 10 แห่งทั่วทุกภาคของประเทศ น่าจะมีจำนวนมากจนเกินไป จนเกินกว่าศักยภาพของหน่วยงานภาครัฐจะบังคับใช้กฎหมายในการตรวจสอบการฟอกเงินจากยาเสพติด การค้ามนุษย์ และการคอรัปชั่นในสถานกาสิโนได้
หากภาครัฐไม่สามารถตรวจสอบและควบคุมเงินผิดกฎหมายในกาสิโนทั้ง 10 แห่ง ได้อย่างมีประสิทธิภาพและ ประสิทธิผล กาสิโนจะเป็นตัว ทำลายความน่าเชื่อถือของประเทศอย่างร้ายแรงที่สุด ซึ่งจะส่งผลต่อต่ออุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจในภาพรวมของประเทศจนยากที่จะแก้ไขได้
นอกจากนี้การที่รัฐบาลกำลังจะอนุญาตเปิดให้มีการเล่นการพนันทางออนไลน์ได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย รัฐบาลควรตระหนักถึงเยาวชนของชาติในอนาคตที่จะถูกดึงเข้าสู่ตลาดการพนันได้ง่าย
ทั้งนี้การที่ภาครัฐยังไม่มีการปฏิรูประบบการทำงาน ของหน่วยงานการบังคับใช้กฎหมายในเรื่องนี้ให้มีความโปร่งใสและสุจริต รัฐบาลจะสามารถให้ความมั่นใจแก่สังคมได้อย่างไรว่า จะไม่ให้มีเงินสีเทาหรือเงินสีดำเข้ามาเกี่ยวข้อง กับตลาดการพนันออนไลน์
ขณะเดียวกันประเทศจะเจริญได้อย่างมั่นคงในระยะยาว นอกจากรัฐบาลจะต้องคำนึงถึงการสร้างเศรษฐกิจที่เจริญรุ่งเรือง โดยมีหลักศีลธรรมกำกับเอาไว้แล้ว
ที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือรัฐบาลต้องคำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศเป็นที่ตั้ง ประเทศที่เข้มแข็ง ต้องมีประชาชนที่มีจิตใจที่เจริญเช่นเดียวกัน
ดังนั้นรัฐบาลจึงต้องส่งเสริมให้ประชาชนมีศีลธรรม มีการประพฤติปฏิบัติที่ดีงาม มีความซื่อสัตย์สุจริต และมีความขยันขันแข็งในการประกอบอาชีพการงาน
หากรัฐบาลสนใจแต่ส่งเสริมทางด้านเศรษฐกิจให้เจริญรุ่งเรือง โดยไม่ใส่ใจต่อความเจริญรุ่งเรืองทางจิตใจของประชาชนแล้ว ในท้ายที่สุดเศรษฐกิจของไทยจะกลายเป็นเศรษฐกิจของต่างชาติที่คนไทยเป็นเพียงผู้อยู่อาศัยเท่านั้นเอง