ส่งออกไทยเผชิญศึกสองด้าน “อียู-สหรัฐ”เปิดเกมกดดันหนัก

19 มี.ค. 2568 | 10:29 น.
อัปเดตล่าสุด :19 มี.ค. 2568 | 10:40 น.

ภาคการส่งออกของไทย เครื่องยนต์หลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศ ณ เวลานี้ ต้องเผชิญปัจจัยเสี่ยงรอบด้าน เฉพาะอย่างยิ่งจากปัจจัยนอกประเทศ

โดยเมื่อวันที่ 14 มีนาคม ที่ผ่านมา สภายุโรปได้ลงคะแนนรับรองญัตติประณามไทย กรณีส่งชาวอุยกูร์กลับไปจีน และเรียกร้องให้คณะกรรมาธิการยุโรป ใช้ความตกลงการค้าเสรี (FTA)สหภาพยุโรป-ไทยที่อยู่ระหว่างการเจรจา เป็นเครื่องมือกดดันรัฐบาลไทยให้มีการแก้ไขกฎหมายที่จำกัดสิทธิเสรีภาพทางการเมือง และปฏิบัติตามมาตรฐานสิทธิมนุษยชนสากล

ทั้งนี้หลายฝ่ายมองจะมีผลกระทบกับการเจรจาเอฟทีเอไทย-สหภาพยุโรป(อียู) ในรอบที่เหลือไม่มากก็น้อย จากสถานะ ณ ปัจจุบัน การเจรจา FTAไทย-อียู ได้ผ่านมาแล้ว 4 รอบ รอบที่ 5 สหภาพยุโรปจะเป็นเจ้าภาพช่วงปลายเดือนมีนาคมนี้ ณ กรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยียม

สำหรับสหภาพยุโรป หรืออียูที่มี 27 ประเทศ เป็นหนึ่งในตลาดหลักของไทย ในปี 2567 ล่าสุด การค้าไทย-สหภาพยุโรป(ไม่รวมสหราชอาณาจักร) มีมูลค่ารวม 1.53 ล้านล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากปีก่อน 6.3%  โดยไทยส่งออก 849,976 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12.3% นำเข้า 687,237 ล้านบาท ลดลง 0.2% ไทยได้ดุลการค้าอียู 162,739 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 141% ซึ่งแน่นอนว่ากรณีไทยส่งชาวอุยกูร์กลับไปจีน และการได้ดุลการค้าอียูที่เพิ่มขึ้น จะเป็นหนึ่งในประเด็นที่อียูจะใช้ในการต่อรองผลประโยชน์กับไทยในการเจรจา FTA ในรอบต่อไป

ส่งออกไทยเผชิญศึกสองด้าน “อียู-สหรัฐ”เปิดเกมกดดันหนัก

รองศาสตราจารย์ ดร.อัทธ์  พิศาลวานิช ผู้เชี่ยวชาญเศรษฐกิจระหว่างประเทศและอาเซียน ให้ความเห็นกับ “ฐานเศรษฐกิจ”ว่า ในประเด็นไทยส่งชาวอุยกูร์ให้จีนที่เป็นเรื่องเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนที่อียูให้ความสำคัญมาก อาจจะเป็นอุปสรรคต่อการเจรจาเอฟทีเอไทย-อียูมีความล่าช้า และขอแลกเปลี่ยนผลประโยชน์กับไทยเพิ่ม ซึ่งในการเจรจาเอฟทีเอไทย-อียู จะเกี่ยวข้องในข้อบทเรื่องความโปร่งใสและหลักปฏิบัติที่ดีด้านกฎระเบียบ ซึ่งเป็น 1 ใน 20 ของข้อบทในการเจรจา

สำหรับอียูเป็นตลาดส่งออกสัดส่วน 8% ของไทยในภาพรวมของปีที่ผ่านมา โดยคู่ค้าหลักของไทยในอียู5 อันดับแรก ได้แก่ เยอรมนี เนเธอร์แลนด์ ฝรั่งเศส เบลเยียม และสเปน โดยสินค้าส่งออกหลักของไทยไปอียู 5 อันดับแรก ได้แก่ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ, อัญมณีและเครื่องประดับ, เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ, ผลิตภัณฑ์ยาง และหม้อแปลงไฟฟ้า และส่วนประกอบ

ส่วนสินค้านำเข้า 5 อันดับแรกของไทยจากอียู ได้แก่ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ, ผลิตภัณฑ์เวชกรรมและเภสัชกรรม, เคมีภัณฑ์, เครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ และเครื่องมือเครื่องใช้เกี่ยวกับวิทยาศาศตร์ และการแพทย์

“การเจรจาเอฟทีเอไทย-อียูหากสามารถบรรลุข้อตกลง และมีผลบังคับใช้ ไทยจะได้รับอานิสงส์หลายด้าน ทั้งการส่งออกสินค้าได้เพิ่มขึ้นจากภาษีที่ลดลง ช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน เช่นกับสินค้าจากเวียดนามที่มีเอฟทีเอกับอียูไปก่อนหน้าไทย ขณะที่ไทยสามารถนำเข้าสินค้าจำเป็นที่ต้องใช้ในการพัฒนาศักยภาพภาคการผลิตของไทย เช่น สินค้ากลุ่มเทคโนโลยีและนวัตกรรมต่าง ๆ  นอกจากนี้ยังช่วยดึงการลงทุนเข้าไทยมากขึ้น และจะได้ภาคการผลิตของอียูมาช่วยยกระดับภาคการผลิตของไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการลดการปล่อยคาร์บอน เป็นต้น”

อย่างไรก็ดีอีกด้านหนึ่ง ล่าสุด สหรัฐอเมริกาในยุค “ทรัมป์ 2.0” ประกาศจะเรียกเก็บภาษีศุลกากรต่างตอบแทน ในอัตราเดียวกับที่ประเทศคู่ค้าทุกประเทศเรียกเก็บจากสหรัฐ(ภาษีเท่าเทียม) โดยอ้างเหตุผลเพื่อสร้างความเป็นธรรมทางการค้ากับ เริ่มวันที่ 2 เมษายน 2568 ทั้งนี้นายมาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐระบุสหรัฐยังเปิดช่องเจรจาระดับทวิภาคีกับประเทศต่างๆ เกี่ยวกับข้อตกลงทางการค้าใหม่ที่มีความเหมาะสมสำหรับทั้งสองฝ่าย ซึ่งก็คือการเปิดช่องในการเจรจาต่อรองผลประโยชน์นั่นเอง

ทั้งนี้ กรณีชาวอุยกูร์ของสหภาพยุโรป และการเก็บภาษีเท่าเทียมของสหรัฐจะเป็นปัจจัยเสี่ยงใหม่ของการค้าไทยนับจากนี้ ซึ่งผลกระทบจะมีมากน้อยเพียงใด ขึ้นกับภาครัฐและเอกชนของไทยจะขยับตัวได้เร็ว และเปิดเกมการเจรจาต่อรองอย่างมีชั้นเชิง