เทียบ 3 ร่าง "พ.ร.บ.สถานบันเทิงครบวงจร" กับ 6 จุดที่แตกต่าง

12 มี.ค. 2568 | 03:38 น.

เจาะลึกพัฒนาการความเปลี่ยนแปลงใน 3 ร่าง พ.ร.บ. Entertainment Complex จากมุ่งเน้น Fun Economy สู้มาตรการคุมเข้ม 50 ล้านสำหรับคนไทยที่จะเข้าเล่นกาสิโน

ในช่วงที่ผ่านมา ประเทศไทยกำลังพิจารณา "ร่างพระราชบัญญัติสถานบันเทิงครบวงจร" หรือที่รู้จักกันในชื่อ "Entertainment Complex" ซึ่งมีการเปิดรับฟังความคิดเห็นและปรับปรุงแก้ไข เริ่มตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2567 จนถึงมีนาคม 2568 ที่กำลังเปิดรับฟังความคิดเห็นครั้งนี้เป็นครั้งที่ 5 ถึงวันที่ 14 มีนาคม 2568 

 

ร่างกฎหมายนี้ได้รับความสนใจอย่างมากเนื่องจาก Entertainment Complex ดังกล่าวเป็นการเปิดทางให้มีการจัดตั้ง "กาสิโนถูกกฎหมาย" ในประเทศไทยเป็นครั้งแรก โดยแต่ละฉบับมีการปรับเปลี่ยนรายละเอียดที่สำคัญหลายประการ

จุดเริ่มต้นและวิวัฒนาการ

 

ฉบับแรก เปิดรับฟังความคิดเห็นเมื่อ 2-18 สิงหาคม 2567 มีเป้าหมายหลักในการส่งเสริมการท่องเที่ยวและอุตสาหกรรม Fun Economy ที่กำลังเติบโต โดยเน้นการพัฒนาเป็นศูนย์กลางธุรกิจที่ครอบคลุมโรงแรม ห้างสรรพสินค้า ศูนย์การประชุม และกาสิโน

 

ร่างฉบับนี้ชี้ให้เห็นถึงผลกระทบของโควิด-19 ต่ออุตสาหกรรมท่องเที่ยว และข้อจำกัดของกฎหมายเดิมอย่าง พ.ร.บ. สถานบริการ พ.ศ. 2509 และ พ.ร.บ. การพนัน พ.ศ. 2478 ที่ไม่สามารถรองรับธุรกิจรูปแบบใหม่ได้

จากนั้น 13 ม.ค. 2568 ครม.เห็นชอบร่าง พ.ร.บ. สถานบันเทิงครบวงจร  และจากนั้นคณะกรรมการกฤษฎีกาเปิดรับฟังความคิดเห็นและผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกา วาระที่หนึ่งฉบับ และได้เปิดรับฟังความคิดเห็นเมื่อ15 กุมภาพันธ์ - 1 มีนาคม 2568

 

ซึ่งยังคงแนวคิดพื้นฐานเช่นเดียวกับฉบับแรก แต่เริ่มให้ความสำคัญกับข้อจำกัดทางกฎหมายและสังคมมากขึ้น มีการกล่าวถึงข้อห่วงใยเกี่ยวกับศีลธรรมและความสงบเรียบร้อยของประชาชน พร้อมทั้งเพิ่มแนวคิดเรื่องการควบคุมธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการพนันอย่างรัดกุม

 

ฉบับล่าสุด เปิดรับฟังความคิดเห็น 28 กุมภาพันธ์ - 14 มีนาคม 2568 พบว่า มีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างของร่างกฎหมาย โดยลดจำนวนหมวดลงเหลือ 7 หมวด 104 มาตรา จากเดิม 9 หมวด

 

และเน้นไปที่กระบวนการอนุญาตและการควบคุมการดำเนินงานของสถานบันเทิงครบวงจร รวมถึงขยายบทบาทของคณะกรรมการบริหารสำนักงานควบคุมการประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร

 

6 ประเด็นสำคัญที่เปลี่ยนแปลง

 

1. โครงสร้างกฎหมาย

 

ฉบับแรกเน้นการกำกับดูแลโดยคณะกรรมการนโยบายและคณะกรรมการบริหาร ในขณะที่ฉบับที่สองเพิ่มข้อจำกัดเรื่องพื้นที่ตั้งของสถานบันเทิงครบวงจร ไม่ให้อยู่ใกล้สถานที่สำคัญทางศาสนา โรงเรียน หรือสถานที่ราชการ พร้อมขยายบทลงโทษให้ครอบคลุมการฟอกเงินและอาชญากรรมข้ามชาติ ส่วนฉบับล่าสุดเพิ่มรายละเอียดการอนุญาต การกำกับดูแลกาสิโน และมาตรการควบคุมบุคคลที่มีสิทธิ์เข้าใช้บริการ

 

2. องค์ประกอบของคณะกรรมการ

ในฉบับแรก คณะกรรมการนโยบายมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน พร้อมกรรมการโดยตำแหน่ง 9 คน และกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิไม่เกิน 6 คน

 

ฉบับที่สองเพิ่มบทบาทของคณะกรรมการในการกำหนดพื้นที่และมาตรการป้องกันอาชญากรรมและการฟอกเงิน ส่วนฉบับล่าสุดเพิ่มอำนาจคณะกรรมการนโยบายในการออกมาตรการป้องกันการฟอกเงินและปราบปรามการทุจริต

 

3. การอนุญาตให้ประกอบกิจการ

ทั้งสามฉบับกำหนดให้ผู้ขอใบอนุญาตต้องเป็นนิติบุคคลที่จดทะเบียนในประเทศไทย มีทุนชำระแล้วไม่น้อยกว่า 10,000 ล้านบาท โดยใบอนุญาตมีอายุ 30 ปี และสามารถต่ออายุได้

 

ฉบับที่สองเพิ่มข้อกำหนดด้านการเช่าที่ดินที่ห้ามทำสัญญาเช่าเกิน 50 ปีและต่อสัญญาได้ไม่เกิน 49 ปี ส่วนฉบับล่าสุดเพิ่มเงื่อนไขที่ให้ผู้รับใบอนุญาตได้รับยกเว้นจากกฎหมายบางฉบับเกี่ยวกับบริษัทต่างชาติ และกำหนดให้มีการประเมินประสิทธิภาพของการดำเนินงานทุก 5 ปี

 

4. มาตรการควบคุมกาสิโน

จุดที่น่าสนใจที่สุดคือการควบคุมกาสิโน ทั้งสามฉบับกำหนดให้กาสิโนต้องอยู่ภายในสถานบันเทิงครบวงจรเท่านั้น ห้ามโฆษณาหรือประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการพนัน ห้ามบุคคลอายุต่ำกว่า 20 ปีเข้าเล่นพนัน และต้องมีการลงทะเบียนและตรวจสอบตัวตนของผู้เข้าเล่น

 

ฉบับที่สองเพิ่มการควบคุมพื้นที่กาสิโนให้มีเขตชัดเจน แยกโซนกาสิโนออกจากสถานบันเทิงอื่นๆ ห้ามการเล่นพนันออนไลน์ ห้ามเชื่อมอินเทอร์เน็ตให้บุคคลภายนอกเข้าเล่น และเพิ่มสัดส่วนพนักงานคนไทยและต่างด้าว

 

ที่น่าสนใจที่สุดคือฉบับล่าสุด ที่เพิ่มเงื่อนไขให้คนไทยที่จะเล่นพนันในกาสิโนต้องมีเงินฝากในบัญชีไม่น้อยกว่า 50 ล้านบาท และฝากต่อเนื่องไม่น้อยกว่า 6 เดือน กำหนดให้ผู้ประกอบการกาสิโนต้องรายงานข้อมูลทางการเงินเพื่อลดความเสี่ยงต่อการฟอกเงิน และให้ผู้รับใบอนุญาตมีมาตรการตรวจสอบการฟอกเงินที่เข้มงวด

 

5. บทกำหนดโทษ

ทั้งสามฉบับมีบทลงโทษสำหรับการฝ่าฝืนข้อบังคับ โดยฉบับที่สองขยายบทลงโทษให้ครอบคลุมถึงการใช้สถานบันเทิงครบวงจรเป็นเครื่องมือในการทำธุรกรรมที่ผิดกฎหมาย

 

ส่วนฉบับล่าสุดเพิ่มบทลงโทษที่เข้มงวดขึ้นสำหรับเจ้าหน้าที่รัฐที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการฟอกเงินหรืออาชญากรรมข้ามชาติ และมีโทษจำคุกสำหรับผู้ประกอบการที่ฝ่าฝืนข้อกำหนดเกี่ยวกับการควบคุมบุคคลที่เข้าเล่นพนัน

 

บทสรุป

 

พัฒนาการของร่าง พ.ร.บ. Entertainment Complex ทั้ง 3 ฉบับ เพิ่มสมดุลระหว่างการส่งเสริมการลงทุนและการท่องเที่ยว ด้วยการควบคุมรับมือผลกระทบทางสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการป้องกันการฟอกเงินและอาชญากรรมข้ามชาติ อาทิ ตั้งเงื่อนไขการกำหนดให้คนไทยต้องมีเงินฝากไม่น้อยกว่า 50 ล้านบาทเพื่อเข้าเล่นในกาสิโน 

 

อย่างไรก็ตาม ยังมีข้อถกเถียงว่าแนวทางดังกล่าวจะสามารถป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพหรือไม่ และการพัฒนาร่างกฎหมายในอนาคตอาจมีการปรับเปลี่ยนเพิ่มเติมเพื่อตอบสนองต่อความกังวลของสังคมและสร้างกลไกการควบคุมที่รัดกุมยิ่งขึ้น

 

ที่มาข้อมูล : การรับฟังความคิดเห็นต่อร่างพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร พ.ศ. .... (ร่างฯ ที่ สคก. ตรวจพิจารณาแล้ว เรื่องเสร็จที่ 261/2568)