ดอกเบี้ยลดกดบาทอ่อน หนุนส่งออก-อสังหาฯตีปีกต้นทุนลด จับตาเงินทุนไหลออก

28 ก.พ. 2568 | 04:53 น.

เอกชนประสานเสียง กนง.ลดดอกเบี้ย ช่วยเพิ่มสภาพคล่อง ดันฟื้นเศรษฐกิจ สภาอุตฯชี้ SMEs มีหนี้สะสมคงค้างกว่า 3.15 ล้านล้านได้อานิสงส์ หลังยังแบกดอกเบี้ยอ่วม 8% ต่อปี จับตากดบาทอ่อนเพิ่มขีดแข่งขันส่งออก “ค่ายอสังหา” หายใจคล่อง ลดภาระต้นทุน ห่วงทุนนอกไหลออก

เหนือความคาดหมาย ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)วันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2568 มีมติเป็นเอกฉันท์ 6 ต่อ 1 เสียง ให้ลดดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% จาก 2.25% เป็น 2.00% ต่อปี โดยให้มีผลทันที หลังจากมีการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายครั้งสุดท้าย (อยู่ที่ 2.25%) มาตั้งแต่เดือนตุลาคม 2567

ดอกเบี้ยลดกดบาทอ่อน หนุนส่งออก-อสังหาฯตีปีกต้นทุนลด จับตาเงินทุนไหลออก

นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า การลดดอกเบี้ยนโยบายเป็นสิ่งที่คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.)รวมถึงเอกชนในภาพรวมได้เรียกร้องมาโดยตลอดในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา มีเหตุผลจากเศรษฐกิจไทยเริ่มชะลอตัวถึงซบเซา กำลังซื้อของผู้บริโภคในประเทศลดลง

ภาคอุตสาหกรรมยังมีการใช้กำลังการผลิตในอัตราต่ำ จากความสามารถในการแข่งขันสินค้าไทยในตลาดต่างประเทศที่ลดลง จากมีปัญหาด้านโครงสร้างการผลิตที่ส่วนใหญ่ยังเป็นสินค้าเดิม ๆ มีต้นทุนที่เสียเปรียบคู่แข่งขัน และอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านสู่อุตสาหกรรมเป้าหมายใหม่ ในภาพรวมทุกอย่างลดลงอย่างมีนัยสำคัญ

เพิ่มสภาพคล่อง-ทำบาทอ่อน

ในเรื่องภาระดอกเบี้ย เป็นหนึ่งในต้นทุนทางการเงินที่สำคัญของผู้ประกอบการ ภาคธุรกิจ และประชาชน ซึ่งการลดดอกเบี้ยนโยบายของ กนง.ที่จะส่งผลให้ธนาคารพาณิชย์ปรับลดดอกเบี้ยลงตามในระยะต่อไปจะช่วยได้ใน 2 เรื่องใหญ่คือ

1.การช่วยลดต้นทุนโดยตรงให้กับผู้ประกอบการเอสเอ็มอี จากอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่จะปรับลดลง ช่วยลดภาระทางการเงิน ทำให้มีสภาพคล่องเพิ่มขึ้น ซึ่งตัวเลขล่าสุด ณ ไตรมาสที่ 4 ปี 2567 เอสเอ็มอีไทยมีหนี้สะสมคงค้างในระบบกว่า 3.15 ล้านล้านบาท

เกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย

2.ผลทางอ้อม การลดดอกเบี้ย จะส่งผลทางจิตวิทยาทำให้ค่าเงินบาทมีโอกาสจะอ่อนค่าลง (ค่าเงินบาทปิดตลาดวันที่ 26 ก.พ.อยู่ที่ 33.72 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ และวันที่ 27 ก.พ.หลัง กนง.ลดดอกเบี้ยอยู่ที่ 33.76 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ) ซึ่งจะส่งผลดีต่อภาคการส่งออกของไทยมีแต้มต่อ ช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขันด้านราคาได้ดีขึ้น จากเวลานี้ในยุค “ทรัมป์ 2.0”การค้าของโลกกับสหรัฐเจอกำแพงภาษีนำเข้าที่เพิ่มขึ้น ทุกประเทศที่เป็นผู้ส่งออกพยายามทำให้ค่าเงินของตัวเองอ่อน เพื่อสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันด้านราคา

“อย่างไรก็ดี การลดดอกเบี้ยนโยบาย ไม่ได้หมายความว่าจะช่วยให้เอสเอ็มอีเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่ายขึ้น หรือเพิ่มขึ้น เพราะเป็นคนละเรื่องกัน โดยข้อเท็จจริงการลดดอกเบี้ยเป็นการลดต้นทุนให้กับเอสเอ็มอีที่มีภาระเงินกู้ และยังต้องจ่ายดอกเบี้ย ก็จะช่วยทำให้เอสเอ็มอีเหล่านั้นผ่อนภาระลง ทำให้ต้นทุนถูกลง

นอกจากนี้จะส่งผลให้ผู้ที่กู้หนี้ยืมสินทั้งหลาย หรือภาคประชาชนทั่วไปที่เป็นหนี้เงินกู้ธนาคาร หนี้บัตรเครดิต หรือบัตรอะไรต่าง ๆ จะได้รับอานิสงส์ และพอดอกเบี้ยลดลงก็จะส่งผลทางจิตวิทยาทำให้รู้สึกว่าทำให้มีกำลังซื้อเพิ่มขึ้น และจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจอีกทางหนึ่ง”

ที่ผ่านมา ทาง กกร. และภาคเอกชนที่เป็นผู้ประกอบการตัวจริงได้ออกมาเรียกร้องในการประชุมและในแถลงข่าวในหลายครั้ง โดยขอให้ กนง.ปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลง เนื่องจากได้สัมผัสกับปัญหาข้างต้นและได้รับผลกระทบจริงในช่วงที่ผ่านมา ดังนั้นการลดดอกเบี้ยของ กนง.ในครั้งนี้ ถือว่าได้รับทราบและเข้าใจปัญหาที่ตรงกับที่ภาคเอกชนได้พูดมาโดยตลอด สิ่งที่ผู้ประกอบการและภาคธุรกิจอยากให้ภาครัฐและธนาคารพาณิชย์ช่วยจากนี้คือทำอย่างไรจะทำให้เข้าถึงสินเชื่อ หรือสภาพคล่องได้มากขึ้น เพราะเวลานี้แบงก์พาณิชย์ยังมีความเข้มงวดในการปล่อยกู้

นอกจากนี้ขอให้ช่วยลดภาระต้นทุนด้านอื่น ๆ เช่น ค่าพลังงาน ค่าไฟฟ้า ที่เวลานี้ภาครัฐกำลังพิจารณาจะปรับลดค่าไฟฟ้างวดหน้าให้เหลือ 3.70 บาทต่อหน่วยให้ได้ในเบื้องต้น ถือเป็นการแก้ปัญหาที่ตรงจุดหากสามารถทำได้

ดอกเบี้ย SMEs ยังโหดกว่า 8%

นายวิศิษฐ์ ลิ้มลือชา รองประธานกรรมการหอการค้าไทย และนายกสมาคมการค้าอาหารอนาคตไทย กล่าวว่า การลดดอกเบี้ย เป็นเรื่องที่เอกชนสนับสนุนอยู่แล้ว ถือมีความจำเป็นในช่วงเวลาที่ผู้ประกอบการจำนวนมากยังประสบปัญหาทางธุรกิจอย่างหนักหน่วง ตั้งแต่ช่วงเกิดโควิด-19 ต่อเนื่องสงครามจากความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ และที่สำคัญเวลานี้กำลังซื้อของผู้บริโภคทั่วโลกไม่ใช่แค่ในประเทศไทยลดลงหมด ส่งผลให้ขายสินค้ายากขึ้น แม้จะตั้งราคาตามต้นทุนก็ขายยาก เพราะต้นทุนสูงขึ้นทุกด้าน ซึ่งดอกเบี้ยเป็นส่วนหนึ่งและเป็นส่วนสำคัญมาก ๆ ของต้นทุน และที่มากกว่าดอกเบี้ยคือการเข้าถึงสินเชื่อต่าง ๆ ที่ยังค่อนข้างยาก

วิศิษฐ์ ลิ้มลือชา รองประธานกรรมการหอการค้าไทย และนายกสมาคมการค้าอาหารอนาคตไทย

“การลดดอกเบี้ยครั้งนี้ อย่างน้อยที่สุดทำให้เห็นความตั้งใจของแบงก์ชาติ ที่เริ่มมองเห็นความเดือดร้อนของภาคธุรกิจ ขณะที่เศรษฐกิจไทยขยายตัวต่ำ ภาคการผลิตยังได้รับผลกระทบจากสินค้าราคาถูกจากต่างประเทศเข้ามาดัมพ์ตลาดอย่างต่อเนื่อง ซึ่งรายงานต่าง ๆ เหล่านี้กว่าจะถึงแบงก์ชาติอาจจะล่าช้า

แต่เมื่อรับทราบและเข้าใจข้อเท็จจริง และมีการปรับลดดอกเบี้ยก็ถือเป็นเรื่องที่ดี เพราะถึงคราวจำเป็นแล้ว ตรงนี้น่าจะช่วยประคับประคองทำให้ธุรกิจหลายๆ อย่างที่ยังพอสู้ไหว ยังพอเดินต่อได้ ได้เห็นความหวังบ้าง ซึ่งไม่ใช่แค่ช่วยเรื่องลดภาระทางการเงิน แต่ยังเป็นเรื่องกำลังใจด้วยว่ามีคนรู้และเห็นสถานการณ์ที่แท้จริงแล้วลงมาช่วย”

ปัจจุบันในข้อเท็จจริงผู้ประกอบการเอสเอ็มอีกู้เงินธนาคารต้องเสียดอกเบี้ยเงินกู้ที่ระดับไม่ต่ำกว่า 8% จากแบงก์มีความกังวลปล่อยกู้ไปแล้วไม่ได้เงินคืน ต่างจากจากผู้ประกอบการขนาดกลาง และขนาดใหญ่ที่มีผลประกอบการและมีเครดิตที่ดีเสียดอกเบี้ยในอัตราต่ำมาก และแบงก์ยังเชิญมาให้ใช้บริการด้วย ซึ่งหวังจากนี้ธนาคารพาณิชย์จะทยอยปรับลดอัตราดอกเบี้ยตามมา และปล่อยกู้มากขึ้น

อสังหาฯต้นทุนลดจับตาทุนไหลออก

นายพรนริศ ชวนไชยสิทธิ์ นายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์ สะท้อนว่า การลดดอกเบี้ยนโยบายลงของกนง. แม้เป็นเรื่องที่ดีตามข้อเสนอของผู้ประกอบการที่มีต่อธปท. แต่ในภาพรวมการปรับลดต้องพิจารณา และดูดอกเบี้ยนโยบายของประเทศหลัก ๆ ด้วย ซึ่งข้อเสียที่จะตามมาจากการลดดอกเบี้ยคือ เงินทุนต่างประเทศจะไหลออก จากอัตราดอกเบี้ยหรือผลตอบแทนไม่จูงใจ

นายสุนทร สถาพร นายกสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร กล่าวว่า การลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายถือเป็นสัญญาณบวกต่ออุตสาหกรรมอสังหาฯ ต้นทุนทางการเงินของผู้ประกอบการจะลดลง ประชาชนจะขอสินเชื่อเพิ่มขึ้น สามารถกระตุ้นการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง เช่น ตลาดหุ้น เนื่องจากผลตอบแทนจากตราสารหนี้ลดลง ทำให้นักลงทุนอาจหันไปลงทุนในตลาดหุ้นมากขึ้น

นายสุรเชษฐ กองชีพ หัวหน้า หัวหน้าฝ่ายวิจัยและที่ปรึกษา คุชแมน แอนด์ เวคฟีลด์ ประเทศไทย มองว่า กนง.ลดดอกเบี้ยนโยบายครั้งนี้ จะช่วยสร้างบรรยากาศหรือกระตุ้นให้การซื้ออสังหาริมทรัพย์มีความคึกคักมากขึ้น และรอธนาคารประกาศลดดอกเบี้ยสินเชื่อที่อยู่อาศัยต่อเนื่อง

หากไม่ลดช่วงนี้จะช้าเกินไป

นางเกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เสนาดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) สะท้อนว่า การลดดอกเบี้ยช่วยกระตุ้นกำลังซื้อให้ขับเคลื่อนลดภาระต้นทุน หากไม่ลดในช่วงนี้ จะช้าเกินไป เพราะตลาดบอบช้ำมากกำลังซื้อหายไปจากตลาด ในมุมผู้ประกอบการมาตรการกระตุ้นธุรกิจอสังหาฯ ที่เป็นยาแรง รัฐบาลควรสนับสนุนสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ 3% คงที่ระยะยาวนาน 20 ปี บ้านราคา 1 ล้านบาท สามารถผ่อนได้ เดือนละ 3,000 บาท จากปกติ 6,000บาท สามารถซื้อบ้านในราคาเดียวกันได้ ซึ่งรูปแบบนี้เกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกา และญี่ปุ่น

นายภูมิภักดิ์ จุลมณีโชติ ประธานผู้บริหารสายงานกลยุทธ์ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ทุกภาคส่วน สนับสนุนให้มีการลดดอกเบี้ยให้สินเชื่อเติบโต เนื่องจากไม่เติบโตมานาน และไทยปรับลดดอกเบี้ยลงค่อนข้างน้อยเมื่อเทียบกับเพื่อนบ้านส่งผลให้ภาระค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง

ช่วย SMEs แค่ระยะสั้น

นายแสงชัย ธีรกุลวาณิช ประธานสมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย ให้ความเห็นว่า การลดดอกเบี้ยนโยบายลงเหลือ เหลือ 2.00% ของ กนง.จะส่งผลต่อสถานการณ์การกระตุ้นเศรษฐกิจและบรรยากาศในการค้า การลงทุนเพิ่มมากขึ้น รวมทั้งการบริโภคในประเทศ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ

แสงชัย ธีรกุลวาณิช ประธานสมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย

“การลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะช่วยประคองสถานการณ์ระยะสั้นให้ SMEs ที่มีสินเชื่อในระบบมีภาระต้นทุนดอกเบี้ยลดลงได้ในระดับหนึ่ง แต่การลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอ ต้องดำเนินนโยบายและมาตรการในการอัดฉีดเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้ประชาชนและ SMEs ควบคู่ไปด้วย”

จากข้อมูล ธปท พบ NPLs ต่อสินเชื่อทั้งหมดอยู่ที่ 2.9 SML (สินเชื่อที่กล่าวถึงเป็นพิเศษ) ต่อสินเชื่อทั้งหมดอยู่ที่ 6.6 ขณะที่ NPLs ต่อสินเชื่อทั้งหมดในกลุ่มเอสเอ็มอีอยู่ที่ร้อยละ 7.7 และ SML ต่อสินเชื่อทั้งหมดในกลุ่มเอสเอ็มอีอยู่ที่ร้อยละ 12.4 ซึ่งสะท้อนข้อมูล ธปท Q3/2567 ถึงแนวโน้มสถานการณ์ NPLs ในกลุ่มบัตรเครดิตร้อยละ 12.6 (Q2/2567 = 12.3) สินเชื่อส่วนบุคคลร้อยละ 10.8 (Q2/2567 = 10.4) รถยนต์ร้อยละ 10.3 (Q2/2567 = 10.0) และที่อยู่อาศัยร้อยละ 4.6 (Q2/2567 = 4.3) โดยเพิ่มขึ้นจาก Q2/2567

ทุกวัตถุประสงค์ ข้อกังวล คือ การลดดอกเบี้ยจำเป็น แต่การมีดอกเบี้ยที่เป็นธรรมสำคัญกว่า และต้องใช้กลไกการพัฒนาที่เป็นประโยชน์ต่อเอสเอ็มอีและประชาชนเข้ามาเชื่อมโยงใช้ประโยชน์ให้สูงสุด

นายแสงชัย กล่าวด้วยว่า การลดดอกเบี้ยนโยบายจะช่วยเพิ่มสภาพคล่องให้ประชาชนและ SMEs ซึ่งส่งผลต่อการบริโภคที่มีความเชื่อมั่นเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกัน ต้องเร่งผลักดันให้ SMEs เข้าถึงแหล่งทุนต้นทุนต่ำเพื่อการเพิ่มสภาพคล่อง มีเงินทุนหมุนเวียนในธุรกิจมากขึ้น โดย SMEs ต้องการนำเงินไปใช้เพิ่มสภาพคล่อง 82% ลงทุนขยายกิจการ 8% และใช้หนี้เดิม 10%