นางมนพร เจริญศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า จากนโยบายของกระทรวงคมนาคมที่มอบหมายให้ บริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด (บวท.) เร่งขยายความสามารถในการรองรับปริมาณเที่ยวบิน เพื่อให้สามารถรองรับปริมาณการจราจรทางอากาศที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น
ขณะเดียวกัน บวท. ศึกษาแนวทางเกี่ยวกับการเพิ่มประสิทธิภาพและขีดความสามารถในการรองรับเที่ยวบินของสนามบินภูเก็ต ซึ่งเป็นสนามบินที่มีเที่ยวบินหนาแน่นเป็นอันดับที่ 3 ของประเทศ รองจากสนามบินสุวรรณภูมิ และสนามบินดอนเมือง มีความสามารถในการรองรับของทางวิ่ง 25 เที่ยวบิน/ชั่วโมง
นอกจากนี้ได้เลือกสนามบินฟูกูโอกะ ซึ่งเป็นสนามบินหลักของภูมิภาคคิวชู ประเทศญี่ปุ่น เป็นคู่เทียบและแบบอย่างสําหรับวิธีปฏิบัติที่เป็นเลิศ หรือ Benchmark เพื่อเป็นแนวทางในการเพิ่มศักยภาพการบริหารจัดการจราจรทางอากาศ เนื่องจากมีลักษณะทางกายภาพใกล้เคียงกับสนามบินภูเก็ตและสนามบินหลักของภูมิภาคอื่น ๆ ในประเทศไทย
สำหรับสนามบินฟูกูโอกะ เดิมเป็นสนามบินที่มีทางวิ่งเส้นเดียว (Single Runway) ที่มีความสามารถในการรองรับเที่ยวบินได้สูงที่สุดของญี่ปุ่น โดยรองรับได้ถึง 38 เที่ยวบิน/ชั่วโมง
ขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการก่อสร้างทางวิ่งเส้นที่ 2 และปรับปรุงอาคารผู้โดยสาร ปัจจุบันปริมาณเที่ยวบินจากฟูกูโอกะมายังสนามบินในประเทศไทยเติบโตอย่างต่อเนื่อง ประกอบด้วย สนามบินสุวรรณภูมิ และสนามบินดอนเมือง โดยมี 3 สายการบิน ซึ่งมีตารางการบินล่วงหน้า
สำหรับเที่ยวบินขนส่งสินค้าและเที่ยวบินรับ-ส่งผู้โดยสาร ได้แก่ การบินไทย ไทยแอร์เอเชีย และไทยเวียตเจ็ท
ทั้งนี้ ประเทศไทยได้เตรียมขยายตลาดทางการบินรองรับนักท่องเที่ยวจากญี่ปุ่น
ดังนั้น บวท. จำเป็นต้องศึกษาแนวทางที่เหมาะสมที่สุดในการเพิ่มศักยภาพและยกระดับการให้บริการการเดินอากาศ เพื่อเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญในการสร้างประโยชน์และสร้างความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจให้ประเทศชาติ มุ่งสู่การเป็นศูนย์กลางการบินในภูมิภาคต่อไป
นายพิเชฐ คุณาธรรมรักษ์ ประธานคณะกรรมการ บริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด (บวท.) กล่าวว่า สำหรับปริมาณเที่ยวบินระหว่างประเทศ ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2567 – มกราคม 2568 (4 เดือน) มีปริมาณเที่ยวบินรวม 165,474 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้น 23% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
ทั้งนี้เที่ยวบินระหว่างประเทศไทย-ญี่ปุ่น มีปริมาณเที่ยวบินรวม 7,588 เที่ยวบิน คิดเป็น 5 % ของเที่ยวบินระหว่างประเทศทั้งหมด โดยประเทศญี่ปุ่น อยู่อันดับที่ 7 ที่ทำการบินเข้า/ออกประเทศไทยสูงสุด ณ ปัจจุบัน ทำการบินเฉลี่ยประมาณวันละ 62 เที่ยวบิน
สำหรับสถิติปริมาณเที่ยวบินระหว่างไทย – ฟูกูโอกะ ทำการบินเฉลี่ยวันละ 6 เที่ยวบิน คิดเป็นร้อยละ 10 ของเที่ยวบินระหว่างประเทศไทย – ญี่ปุ่น ทั้งหมด และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ขณะนี้มีหลายสายการบินขอเพิ่มเที่ยวบินไปยังเมืองฟูกูโอกะ ซึ่งมีชื่อเสียงด้านการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจ จึงทําให้มีความต้องการในการเดินทางทางอากาศเพิ่มขึ้นเป็นจํานวนมากการศึกษาดูงานสนามบินฟูกูโอกะ ซึ่งมีปริมาณเที่ยวบินหนาแน่นเป็นอันดับที่ 4 ของประเทศญี่ปุ่น
อย่างไรก็ตามบวท.จะนำรูปแบบและแนวทางการบริหารจัดการการจราจรทางอากาศ ทั้งลักษณะการบริหารจัดการห้วงอากาศ การบริหารจัดการลักษณะทางกายภาพของสนามบิน อาทิ ทางวิ่ง ทางขับ ลานจอดอากาศยาน อาคารผู้โดยสาร และการบริหารจัดการการใช้งานทางวิ่ง ของสนามบินฟูกูโอกะ
นอกจากนี้เพื่อเป็นแนวทางในการปรับปรุง แก้ไขรูปแบบ และแนวทางการบริหารจัดการการจราจรทางอากาศของสนามบินภูเก็ต และสนามบินภูมิภาคอื่น ๆ รวมถึงการวิเคราะห์หาค่าขีดความสามารถในการรองรับเที่ยวบิน เพื่อให้สนามบินภูเก็ต และสนามบินภูมิภาคอื่น ๆ สามารถเพิ่มความสามารถในการรองรับของเที่ยวบินได้มากขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัยสูงสุด
นายณพศิษฏ์ จักรพิทักษ์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด (บวท.) กล่าวว่า ปัจจุบันบวท. ยังมีแผนในการนําระบบติดตามอากาศยานภาคพื้น Multilateration (MLAT) รวมทั้งระบบ Digital Tower มาใช้ในการจัดการจราจรทางอากาศ ทั้งนี้เพื่อช่วยในการบริหารจัดการจราจรภายในพื้นที่สนามบินได้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โดยมีเป้าหมายเพิ่มประสิทธิภาพและขีดความสามารถในการรองรับเที่ยวบินของสนามบินภูเก็ต ให้ได้ 35 เที่ยวบิน/ชั่วโมง ภายในปี 2568
ขณะเดียวกันจากการศึกษาแนวทาง วิธีการบริหารจัดการ และข้อจำกัดด้านต่าง ๆ ของสนามบินฟูกูโอกะเปรียบเทียบกับสนามบินภูเก็ต พบว่า แนวทางการเพิ่มความสามารถในการรองรับเที่ยวบินของสนามบินภูเก็ตนั้น จะต้องพิจารณา 3 ด้าน ดังนี้
1. ด้านการบริหารจัดการจราจรทางอากาศ ต้องเลือกใช้ทางวิ่งขึ้น-ลง ที่เหมาะสม และในการให้บริการควบคุมจราจรทางอากาศ
โดย บวท. ได้ดําเนินโครงการ High Intensity Runway Operation (HIRO) ณ สนามบินภูเก็ต เพื่อลดระยะการครองทางวิ่ง (Runway Occupancy Time (ROT) ทําให้การจัดระยะห่างลดลง จะทำให้สามารถรองรับเที่ยวบินได้เพิ่มขึ้น
2. ด้านลักษณะทางกายภาพของสนามบิน ต้องพิจารณาลักษณะทางกายภาพของ Rapid Exit Taxiway (RET) ให้มีระยะทางที่เหมาะสม และใช้งานได้เต็มประสิทธิภาพ จะทําให้อากาศยานใช้ระยะเวลาในการครองทางวิ่งน้อยลง สามารถลดระยะห่างของอากาศยานลดลง และสามารถรองรับเที่ยวบินได้มากขึ้น
3. ด้านกระบวนการตัดสินใจร่วมกันของผู้ใช้งาน ผู้ให้บริการ และผู้ดำเนินงานสนามบิน หรือ Airport Collaborative Decision Making (A-CDM) และการบูรณาการร่วมกับระบบบริหารความคล่องตัวการจราจรทางอากาศ (Air Traffic Flow Management : ATFM) หรือ ATFM – ACDM Integration ซึ่งจะทำให้การบริหารจัดการในภาพรวมของสนามบินเกิดประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น