นางสาวปริสุทธิ์ รัตนมหาวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สมาร์ทฟินน์ โซลูชั่นส์ จำกัด เปิดเผยว่า ปี 68 บริษัทได้ดำเนินการต่อยอดกลยุทธ์ในการทำธุรกิจอย่างยั่งยืน โดยจะร่วมลงทุนกับด้วยการร่วมลงทุนกับธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank โดยกองทุนร่วมลงทุนในกิจการ SMEs (กองทุนย่อยกองที่ 1)
สำหรับความร่วมมือดังกล่าวจะไม่ใช่เพียงการสนับสนุนด้านเงินทุน แต่ยังรวมถึงเสริมศักยภาพของสมาร์ทฟินน์ในหลายมิติ ทั้งแนวทางกำกับดูแลกิจการที่ดี และการยกระดับมาตรฐานองค์กร เพื่อสร้างโอกาสให้ผู้ประกอบการ SMEs สามารถเข้าถึงแหล่งเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพพร้อมเดินหน้าสู่การเติบโตอย่างมั่นคง
นอกจากนี้ ยังจะเป็นการช่วยขยายการสนับสนุนให้ผู้ประกอบการรายย่อยเข้าถึงแหล่งทุนได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ โดยเงินทุนจากการร่วมลงทุนดังกล่าว จะถูกนำไปใช้ในการพัฒนาธุรกิจตามแผนงานที่วางไว้ เช่น การขยายพื้นที่ให้บริการรับขายฝากอสังหาริมทรัพย์จากเดิมครอบคลุมอยู่ในพื้นที่ กรุงเทพฯ ปริมณฑล และหัวเมืองใหญ่ๆ ใน 46 จังหวัด ตั้งเป้าขยายพื้นที่รับขายฝากอสังหาริมทรัพย์ให้ครอบคลุมต่างจังหวัดมากขึ้น
รวมถึงขยายผลสัมฤทธิ์ด้านทีมงาน การตลาด และการเชื่อมต่อเทคโนโลยีการเงิน สร้างประโยชน์สนับสนุนให้ธุรกิจ SMEs และบุคคลทั่วไป ได้เข้าถึงแหล่งเงินทุนถูกกฎหมายอย่างสะดวก รวดเร็ว และผลักดันเศรษฐกิจไทยให้เติบโตต่อไป
อย่างไรก็ดี ในระยะยาวกองทุน SMES (กองทุนย่อยที่ 1) จะช่วยขยายตลาดของสมาร์ทฟินน์และสร้างรากฐานที่มั่นคง เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการนำบริษัทเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ในอนาคต การร่วมมือกับ SME D Bank ถือเป็นโอกาสสำคัญที่ช่วยให้สมาร์ทฟินน์สามารถก้าวไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคง พร้อมผลักดันเศรษฐกิจของประเทศให้เติบโตต่อไปอย่างยั่งยืน
“สมาร์ทฟินน์เป็น Matching Platform ที่เน้นการจับคู่ระหว่างผู้รับซื้อฝากจากทั่วประเทศแบบถูกต้องตามกฎหมาย กับกลุ่มผู้ที่ต้องการเงินทุนหรือผู้ขายฝาก โดยมีโฉนด น.ส.4 หรือ หนังสือกรรมสิทธิ์ห้องชุด (อ.ช.2) เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันในการทำสัญญาขายฝาก โดยรับเงินทุนในอัตราดอกเบี้ยต่ำ 9% ต่อปี และมีทีมผู้เชี่ยวชาญคอยให้คำปรึกษาในการทำธุรกรรม ที่ผ่ามามากกว่า 8 ปี สามารถปิดดีลมูลค่าทรัพย์ขายฝากไปแล้วกว่า 10,800 ล้านบาท”
นางสาวปฏิมากร ใจอ่อน ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ กล่าว่า ภาวะที่เศรษฐกิจทั้งในประเทศไทยและทั่วโลกกำลังเผชิญกับความท้าทาย ธุรกิจ SMEs จำนวนมากต้องดิ้นรนในการเข้าถึงแหล่งเงินทุน เพื่อนำมาเสริมสภาพคล่องหรือต่อยอดการพัฒนาธุรกิจให้ก้าวไปข้างหน้า แต่ด้วยเกณฑ์การพิจารณาสินเชื่อของธนาคาร และข้อจำกัดในกระบวนการอนุมัติสินเชื่อ ส่งผลให้ผู้ประกอบการ SMEs จำนวนหนึ่งที่ไม่ได้รับการพิจารณาสินเชื่อ และต้องหันไปพึ่งเงินกู้นอกระบบที่มีดอกเบี้ยสูงถึง 24-36% ต่อปี
ขณะที่อัตรากำไรเฉลี่ยของธุรกิจ SMEs อยู่ในระดับ 10-15% บริษัทมองเห็นถึงปัญหาและมุ่งมั่นเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างโอกาสให้กับผู้ประกอบการ SMEs ด้วยการพัฒนาแพลตฟอร์มการจับคู่ขายฝากอสังหาริมทรัพย์ ที่เปิดโอกาสให้ผู้มีโฉนดที่ดิน หรือกรรมสิทธิ์ห้องชุดสามารถใช้ทรัพย์สินของตนเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันเพื่อเข้าถึงแหล่งเงินทุน