นายเชิดศักดิ์ อรรถอารุณ หัวหน้าผู้จัดการทั่วไป บริษัท อัครา รีซอร์สเซส จำกัด เปิดเผยถึงแผนธุรกิจของอัคราภายหลังกลับมาเปิดดำเนินเดือนมีนาคม 2566 ว่า ธุรกิจเหมืองทองอัครายังเดินหน้าต่อไป โดยได้ใช้งบประมาณกว่า 2,600 ล้านบาทในการยกเครื่องซ่อมแซมเครื่องจักรและโรงประกอบโลหกรรมทั้ง 2 แห่ง
รวมถึงอาคารสถานที่สิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ภายในเหมืองจนแล้วเสร็จในเดือนพฤษภาคม 2567 ส่งผลให้สามารถเดินกำลังการผลิตได้อย่างเต็มรูปแบบ
โดยในปี 2567 ที่ผ่านมา อัคราผลิตแร่ทองคำได้ประมาณ 50,000 ออนซ์ และแร่เงินกว่า 530,000 ออนซ์ และตั้งเป้าการผลิตทองในปี 2568 ไว้ที่ 80,000 – 90,000 ออนซ์ จากนั้นจะค่อยๆ เพิ่มเป็น 95,000 – 120,000 ออนซ์ ในอีก 2-3 ปีต่อจากนี้
นอกจากนี้ บริษัทยังร่วมกับ บริษัท รีฟายนิ่งโลหะมีค่า จำกัด และบริษัท ออสสิริส จำกัด พัฒนาอุตสาหกรรมทองคำไทยร่วมกันทั้งระบบ
นางสาวศิวนาถ สอนราช ผู้จัดการฝ่ายงานอนุญาตของอัครา กล่าวว่า ภายในระยะเวลาเพียงแค่ 22 เดือน นับตั้งแต่มีนาคม 2566 จนถึงมกราคม 2568 อัคราได้ชำระค่าภาคหลวงกว่า 1,000 ล้านบาท โดย 40% ของค่าภาคหลวงแร่จะถูกจัดสรรให้เป็นรายได้รัฐ อีก 50% ถูกจัดสรรให้แก่ชุมชนในพื้นที่ที่บริษัทดำเนินการทำเหมือง
ซึ่งแบ่งเป็นองค์การบริหารส่วนจังหวัดที่ประทานบัตรตั้งอยู่ 20% องค์การบริหารส่วนตำบลที่ประทานบัตรตั้งอยู่ 20% และองค์การบริหารส่วนตำบลภายในจังหวัดอีก 10%
และส่วนสุดท้ายอีก 10% ที่เหลือจะถูกจัดสรรให้แก่องค์การบริหารส่วนตำบลทั่วประเทศ ช่วยเสริมศักยภาพขององค์กรท้องถิ่นในการดูแลประชาชนได้เป็นอย่างดี ก่อให้เกิดงานและโครงการเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตคนในพื้นที่จำนวนมาก ในส่วนของเงินบำรุงพิเศษ 5% โดยคำนวณจากค่าภาคหลวงแร่ ให้กับกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่(กพร.) มีวัตถุประสงค์เพื่อการศึกษาวิจัยด้านแร่ ปรับสภาพพื้นที่ที่ผ่านการทำเหมืองแล้ว
ทั้งนี้ ยังไม่รวมเงินที่อัคราต้องจัดสรรเข้ากองทุนจำนวน 4 กองทุน ประกอบด้วย กองทุนพัฒนาหมู่บ้านรอบพื้นที่เหมืองแร่ กองทุนฟื้นฟูพื้นที่เหมืองแร่ กองทุนเฝ้าระวังสุขภาพ และกองทุนประกันความเสี่ยง ซึ่งบริษัทต้องนำเงินเข้ากองทุนในอัตรา 21% ของค่าภาคหลวงแร่ โดยต้องไม่น้อยกว่า 65 ล้านบาทต่อปี แต่อัคราได้จัดสรรเงินเข้ากองทุนเหล่านี้ไปแล้วประมาณ 207 ล้านบาท ซึ่งเกินกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้มาก
ม.ล.ปรมาภรณ์ เทวกุล ผู้จัดการทั่วไป บริษัท รีฟายนิ่งโลหะมีค่า จำกัด หรือ พีเอ็มอาร์ ในฐานะผู้สกัดทองคำให้อัครา กล่าวว่า ปัจจุบันพีเอ็มอาร์มีความสามารถสกัดทองคำให้มีความบริสุทธิ์ได้ที่ 99.99% โดยปริมาณแร่ทองคำและเงินที่ได้รับจากอัครา คิดเป็นสัดส่วน 30% ของกำลังการผลิตเท่านั้น ดังนั้น เราจึงพร้อมที่จะรองรับปริมาณการผลิตที่สูงขึ้นของอัคราในอนาคต ซึ่งทองที่สกัดออกมาที่ค่าความบริสุทธิ์ 99.99% ได้ถูกส่งต่อให้ออสสิริสแปรรูปเพื่อเพิ่มมูลค่าต่อไป
สำหรับบทบาทของอุตสาหกรรมเหมืองแร่นั้น เป็นอุตสาหกรรมต้นน้ำที่ทำให้เกิดวัตถุดิบที่จำเป็นในอุตสาหกรรมอื่น ๆ เช่น โครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นระบบขนส่งคมนาคม ระบบรถไฟทางคู่ ถ้าไม่มีการทำเหมืองหิน เพื่อใช้ทำซีเมนต์ การก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ ก็คงไม่เกิด อุตสาหกรรมต้นน้ำจึงมีความสำคัญ เพราะเป็นผู้หาวัตถุดิบให้ พอมีวัตถุดิบ เราก็สามารถนำผู้เชี่ยวชาญมาคิดพัฒนาให้เกิดอุตสาหกรรมปลายน้ำต่าง ๆ ตามมา
นายบุญเลิศ สิริภัทรวณิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารงาน บริษัท ออสสิริส จำกัด หรือ ออสสิริส กล่าวต่อ ทองที่สกัดจากพีเอ็มอาร์นั้น จะนำไปแปรรูปโดยช่างทองของออสสิริสใส่อัตลักษณ์ความเป็นไทยลงไปเพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์ทองคำของไทยต่อไป ประเทศไทยได้ประโยชน์อะไรจากการทำเหมืองทอง
ทองคำเป็นวัตถุดิบสำคัญสำหรับอุตสาหรรมเครื่องประดับ และช่างทองไทยมีความโดดเด่นในการทำอัตลักษณ์เฉพาะตัว เพราะฉะนั้นเราสามารถนำทองที่หาได้ในประเทศ สกัด และเพิ่มมูลค่าเพื่อส่งออกสู่ตลาดโลก นำรายได้กลับเข้าประเทศ
โดยการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไทยในช่วงเดือนมกราคม-พฤศจิกายน ปี 2567 มีมูลค่า 16,924.49 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยเป็นสินค้าส่งออกในอันดับที่ 3 คิดเป็นสัดส่วน 6.14% ของสินค้าส่งออกโดยรวมของไทย ซึ่งทองคำที่ยังมิได้ขึ้นรูปหรือทองคำกึ่งสำเร็จรูป คิดเป็นสัดส่วนถึง 49.12% ของมูลค่าการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไทยโดยรวม