ลุ้นลดค่าไฟเหลือ 3.98 บาท หลังนโยบายทรัมป์ 2.0 กดต้นทุนฟอสซิลถูกลง

27 ม.ค. 2568 | 16:45 น.
อัปเดตล่าสุด :27 ม.ค. 2568 | 16:45 น.

ประชาชนรอเฮ กกพ.แย้มมีลุ้นลดค่าไฟงวดพ.ค.-ส.ค. 68 เหลือ 3.98 บาทต่อหน่วย หลังนโยบายโดนัลด์ ทรัมป์กดต้นทุนเชื้อเพลิงฟอสซิลถูกลง ชี้ต้องดูปัจจัยเรื่องอัตราแลกเปลี่ยน ปริมาณการใช้ไฟควบคู่กันไป

ดร.พูลพัฒน์ ลีสมบัติไพบูลย์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (สำนักงาน กกพ.) ในฐานะโฆษกคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) เปิดเผยถึงประเด็นเรื่องการลดค่าไฟเหลือ 3.98 บาทต่อหน่วย หรือลดลง 17 สตางค์ ว่า

การจะลดค่าไฟลงได้เลยในรอบบิลงวดพ.ค.-ส.ค. 68 เลยหรือไม่นั้น คงไม่สามารถตอบได้อย่างชัดเจนในเวลานี้ ต้องขอดูตัวเลขทั้งหมดก่อน 

ทั้งนี้ เนื่องจากมีปัจจัยหลายอย่างที่เปลี่ยนแปลงไป เช่น การที่โดนัลด์ ทรัมป์ เข้ามารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ก็อาจจะมีการเร่งผลิตเชื้อเพลิงฟอสซิลมากยิ่งขึ้น ซึ่งเมื่อมีปริมาณฟอสซิลมากขึ้น ก็อาจทำให้ต้นทุนลดลง แต่ส่วนหนึ่งก็ต้องดูเรื่องของอัตราแลกเปลี่ยน และปริมาณการใช้ไฟในงวดถัดไป รวมถึงนโยบายที่กำลังจะพิจารณากันอยู่

นายวัฒนพงษ์ คุโรวาท ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) เปิดเผยความคืบหน้าประเด็นเรื่องการปรับลดค่าไฟ 17 สตางค์ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (สำนักงาน กกพ.) ว่า เรื่องที่กกพ.นำเสนอ ได้มีการนำเข้าสู่คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ  (กพช.) แล้ว โดยที่กระทรวงพลังงานเองมีการมองเห็นประเด็นดังกล่าว และหารือกับ กกพ. และสนพ. แล้ว  

โดยมองเห็นสัญญาเรื่องของการให้เงินสนับสนุน (Adder) ที่มีการต่อสัญญาอัตโนมัติ 5 ปีต่อเนื่อง ซึ่งในความเป็นจริงหลักการต้องการจะทำในรูปแบบของการสิ้นสุดสัญญา หรือ PPA ซึ่งเบื้องต้นก่อนหน้านี้ได้มีการขอข้อมูลกกพ. และได้เห็นตัวเลขตามที่ กกพ. บอก แต่เป็นเรื่องของสัญญา ดังนั้นจะต้องมีการหารือโดยรอบครอบกับทางอัยการกับกฤษฎีกา 

สนพ. ได้มีการนำเรื่องเข้า กพช. และมีการรับทราบแล้ว โดยให้นโยบายว่าให้ไปหารือกับอัยการว่าสามารถดำเนินการได้หรือไม่ เพราะปัจจุบันต้องมีการตรวจสอบหลักของสัญญาว่ามีการเขียนอย่างรัดกุมมากแค่ไหนในการที่จะเปลี่ยนแปลง

อย่างไรก็ดี โดยหลักการของกระทรวงพลังงานเห็นว่าประเด็นดังกล่าวนี้น่าจะเป็นส่วนหนึ่งของต้นทุนค่าไฟของประชาชน ซึ่งปัจจุบันกำลังหาแนวทางในการดำเนินการ รวมถึงหารือกับอัยการ ขณะที่นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานก็มีคณะทำงานด้านกฎหมายก็จะมีการหารือกันอย่างรอบครอบ

นายประเสริฐ สินสุขประเสริฐ ปลัดกระทรวงพลังงาน กล่าวถึงประเด็นเรื่องการลดต้นทุนจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่เกี่ยวกับค่าความพร้อมจ่าย (AP) ว่า เคยมีการหารือร่วมกันแล้ว โดยที่เอกชนเองมีการลงทุนสร้างโรงไฟฟ้าไปแล้ว มีการกู้เงินมาก่อสร้าง ซึ่งมีหลากหลายแนวทางที่เคยนำเสนอมาที่กระทรวงพลังงานตั้งแต่ปี 64-65  และมีความเป็นไปได้ เช่น การเข้าซื้อโรงไฟฟ้าดังกล่าว หรือการลดค่าพร้อมจ่าย แต่เอกชนก็เสนอขอยืดเวลาการจ่ายไฟ 

“ครั้งก่อนที่ได้มีการหารือร่วมกัน มองแล้วเห็นว่าไม่ค่อยคุ้มค่าที่จะดำเนินการเท่าใดนัก ขณะที่ รมว. เองก็มีการตั้งคณะทำงานขึ้นมาดูเรื่องค่าไฟ ทั้งดูค่าความพร้อมจ่าย ราคาก๊าซธรรมชาติ เรื่องสายส่ง โรงไฟฟ้า เป็นต้น ซึ่งคณะทำงานกำลังดำเนินการ และน่าจะมีแนวทางออกมาภายใน 2-3 เดือนที่จะถึงนี้”

ส่วนปีนี้จะได้เห็นค่าไฟ 3.70 บาทหรือไม่นั้น มองว่าการที่จะลดได้ในระดับดังกล่าวจะต้องได้รับความร่วมมือจากหลายภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นกระทรวงมหาดไทย รวมถึงการไฟฟ้าฝ่ายผลิต (กฟผ.) ,การไฟฟ้าฝ่ายภูมิภาค (กฟภ.) และการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) ,บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ,กระทรวงการคลัง และภาคเอกชนก็มีความเป็นไปได้

เวลานี้คณะทำงานกำลังพิจารณาว่าจะใช้แนวทางใดบ้าง ซึ่งคาดว่าจะมีหลากหลายแนวทาง หลังจากนั้นจึงนำไปหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ได้ตัวเลขตามที่จะเป็นไปได้ โดยไม่ต้องการระบุว่าจะเป็นตัวเลข 3.70 บาทหรือไม่