วันนี้ (27 มกราคม 2568) ที่ตึกสันติไมตรี (หลังใน) ทำเนียบรัฐบาล นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี พร้อมคณะรัฐมนตรี ได้เปิดตัวโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านผู้สูงอายุ หรือ การแจกเงิน 10,000 บาท ตามนโยบานรัฐบาล โดยวันนี้ถือเป็นวันที่กรมบัญชีกลางได้ทำการโอนเงิน 10,000 บาท ให้แก่ผู้ได้รับสิทธิของโครงการฯ จำนวน 3,025,596 ราย
นางสาวแพทองธาร กล่าวว่า การกระตุ้นเศรษฐกิจเป็นสิ่งที่รัฐบาลให้ความสำคัญ และที่ผ่านมาได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฟสแรก ได้มอบเงิน 10,000 บาท ไปยังกลุ่มผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและคนพิการ 14.5 ล้านคน ส่วนเฟส 2 วันนี้ก็ได้เริ่มต้นแจกเงิน 10,000 บาท ให้กับผู้สูงอายุเข้าบัญชีพร้อมเพย์ที่ผูกไว้กับบัตรประชาชน จำนวน 3 ล้านคน ซึ่งจะเติมเงินลงไปในระบบเศรษฐกิจไทยอีก 30,000 ล้านบาท
นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง กล่าวว่า การแจกเงิน 10,000 บาท ผ่านโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านผู้สูงอายุ ครั้งนี้ เชื่อว่า ผู้สูงอายุอาจจะใช้เงิน 10,000 บาท ไปในสองส่วน ส่วนแรกนำไปจับจ่ายใช้สอย ส่วนที่สองคือการนำไปต่อยอดทำธุรกิจ หรือนำไปซื้อของมาขาย ซึ่งรัฐบาลก็ชอบทั้งสองวิธี เพราะจะทำให้คนสูงวัยยังมีกิจกรรมและมีอาชีพที่ต้องทำต่อไป
“สุดท้ายเชื่อว่าหลายคนก็คงไม่เอาเงินไปเก็บ และจะเร่งใช้จ่ายเงินลงไปในระบบเศรษฐกิจ” รองนายกฯ ระบุ
อย่างไรก็ตามนอกจากโครงการนี้แล้ว รัฐบาลยังรัฐบาลเร่งรัดการลงทุน ทั้งการลงทุนภาครัฐและเอกชน เพื่อให้เกิดการจ้างงาน รวมทั้งจะการขับเคลื่อนมาตรการต่าง ๆ ออกมาเป็นระยะ เพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในช่วงรอยต่อรอการลงทุน ซึ่งคาดว่า น่าจะทำให้เศรษฐกิจโตได้ไม่ต่ำกว่า 3%
นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รมช.คลัง กล่าวว่า โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านผู้สูงอายุครั้งนี้ จะผลักดันให้เศรษฐกิจโตได้เพิ่มอีก 0.1% โดยรัฐบาลคาดหวังว่าคนกลุ่มนี้จะทำให้เกิดกำลังการใช้จ่ายที่สูงเหมือนกับเฟสแรก ซึ่งจากนี้ไปรัฐบาลจะรักษาโมเมนตัมทางเศรษฐกิจ โดยการสร้างรายได้เข้าประเทศทั้งในฤดูกาลท่องเที่ยว และนอกฤดูกาลท่องเที่ยว รวมทั้งตอนนี้ก็ยังมีอีกโครงการคือ คุณสู้เราช่วย ซึ่งเป็นหนึ่งโครงการที่จะช่วยลดหนี้และเติมเงินกระตุ้นเศรษฐกิจด้วย
นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง กล่าวว่า รัฐบาลจะพิจารณาวงเงินในการกระตุ้นเศรษฐกิจให้เกิดความต่อเนื่อง โดยนอกเหนือจากการใช้กลไกของเงินงบประมาณแล้ว ยังมีช่องทางอื่น ๆ เช่น เงินลงทุนของรัฐวิสาหกิจ หรือการปรับลดขั้นตอนกระบวนการเพื่อให้ภาคเอกชนเกิดความสะดวกมากขึ้น รวมไปถึงการเร่งรัดเงินลงทุนจากต่างประเทศ เพื่อให้เกิดโมเมนตัมทางเศรษฐกิจต่อไป