ดร.ศุภชัย ปทุมนากุล ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) หรือ กระทรวง อว. ให้สัมภาษณ์สื่อในเครือเนชั่น ถึงสถานการณ์การลงทุนของต่างชาติในสถาบันอุดมศึกษาเอกชนไทย โดยเฉพาะกรณีนักลงทุนจีนที่เข้ามาถือหุ้นในหลายสถาบันว่า ข้อมูลตอนนี้มี 3 มหาวิทยาลัยเอกชนของไทยที่มีนักลงทุนจีนเข้ามาลงทุนคือ มหาวิทยาลัยเกริก มหาวิทยาลัยสแตมฟอร์ด และมหาวิทยาลัยชินวัตร ซึ่งกระทรวงได้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและเข้มงวดในการกำกับดูแลผ่านพระราชบัญญัติสถาบันอุดมศึกษาเอกชน ทั้งในด้านหลักสูตร การเงิน และการบริหารจัดการ
"เรามีการติดตามอย่างต่อเนื่องในทุกมหาวิทยาลัย ไม่ใช่แค่ 3 มหาวิทยาลัยดังกล่าว โดยเฉพาะประเด็นที่น่ากังวลคือจำนวนนักศึกษาจีนที่เข้ามาเรียนค่อนข้างมาก ต้องตรวจสอบว่ามีการเรียนจริงหรือไม่ หรือเป็นการแอบแฝงเข้ามาทำงาน รวมถึงการตรวจสอบเรื่องคุณภาพการศึกษา การใช้เงินกองทุนและความผิดปกติต่างๆ" ปลัด อว. กล่าว
ปัจจุบันมีหลายกรณีที่อยู่ในการเฝ้าระวังของกระทรวง อว. อาทิ กรณีมหาวิทยาลัยชินวัตร ที่เคยเปลี่ยนชื่อเป็นมหาวิทยาลัยเมธารัถ แต่ภายหลังขอเปลี่ยนกลับมาใช้ชื่อเดิม ซึ่งที่ผ่านมากรรมการสภามหาวิทยาลัยชินวัตรที่มีตัวแทนของกระทรวง อว. ได้เข้าตรวจสอบ เพราะพบความผิดปกติบางประการ จึงสั่งให้แก้ไข
นอกจากนี้ยังมีกรณีของมหาวิทยาลัยเกริก ที่มีการเข้ามาลงทุนของนักลงทุนจีน โดยได้ซื้อกิจการวิทยาลัยอินเตอร์เทคลำปาง เพื่อเป็นสาขาวิทยาเขตของมหาวิทยาลัยเกริก รวมถึงมีข่าวว่าการซื้อกิจการของมหาวิทยาลัยเอกชนแห่งหนึ่งในจังหวัดลำปาง ที่จะมีการขายหุ้นให้กับนักลงทุนจีนเช่นกัน
ดร.ศุภชัย ยอมรับว่า แม้กฎหมายจะให้ความยืดหยุ่นเพื่อให้สถาบันการศึกษาสามารถปรับตัวตามการเปลี่ยนแปลงของโลก แต่จำเป็นต้องมีมาตรการเพิ่มเติมในการกำกับดูแล โดยเฉพาะสถาบันที่มีต่างชาติถือหุ้น ซึ่งต้องมีการตรวจสอบที่มาของเงินลงทุนอย่างละเอียด เช่นเดียวกับมาตรฐานการกำกับดูแลสถาบันการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทย
"เราอาจต้องพิจารณาใช้มาตรการคล้ายกับการขออนุญาตประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว หรือการขอใบอนุญาตธนาคาร ที่ต้องมีการตรวจสอบที่มาของเงินทุนอย่างละเอียด และผู้ถือหุ้นต้องมีคุณสมบัติตามที่กำหนด เพื่อป้องกันการใช้ตัวแทน หรือ นอมินี (nominee) มาถือหุ้นแทน" ปลัด อว. ระบุ
ปลัด อว. กล่าวอีกว่า ตามมาตรา 61 แห่ง พระราชบัญญัติสถาบันอุดมศึกษาเอกชน กำหนดให้มหาวิทยาลัยเอกชนต้องจัดสรรทุนเป็น 6 กองทุน ได้แก่ กองทุนทั่วไป กองทุนทรัพย์สินถาวร กองทุนวิจัย กองทุนห้องสมุดและเทคโนโลยี กองทุนพัฒนาบุคลากร และกองทุนสงเคราะห์ เพื่อเป็นหลักประกันในการดำเนินงานและดูแลผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่าย ทั้งนักศึกษา คณาจารย์ และเจ้าหน้าที่เพื่อดูแลนักศึกษาและบุคลากรในกรณีที่เกิดปัญหา โดยต้องจัดสรรกำไรเข้ากองทุนตามสัดส่วนที่กำหนด
“มาตรการนี้เป็นบทเรียนจากกรณีสถาบันอุดมศึกษาเอกชนในอดีตที่ปิดกิจการ ทำให้เกิดภาระในการดูแลนักศึกษาและบุคลากรจำนวนมาก หากพบการดำเนินการนำเงินไปใช้ผิดวัตถุประสงค์และผิดปกติ กระทรวงจะมีการแจ้งเตือน หากเตือนแล้วไม่ดำเนินการแก้ไขกระทรวงมีอำนาจในการเข้าควบคุม”
อย่างไรก็ตามในอีกมุมหนึ่ง ดร.ศุภชัย มองว่า การลงทุนการศึกษาจากต่างชาติยังเป็นโอกาสที่จะพัฒนาประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางการศึกษา โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่ความสัมพันธ์ระหว่างจีนและสหรัฐฯ มีความตึงเครียด ทำให้ไทยมีโอกาสในการดึงดูดนักศึกษาคุณภาพจากจีนให้เข้ามาเรียนและทำงานในไทย
"เรากำลังผลักดันนโยบาย Study in Thailand เพื่อดึงดูดนักศึกษาต่างชาติที่มีคุณภาพ ซึ่งเป็นหนึ่งในนโยบายสำคัญของรัฐมนตรี โดยส่งเสริมความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยไทยกับสถาบันการศึกษาชั้นนำจากต่างประเทศ เราต้องการให้ไทยเป็น Regional Education Hub แต่ต้องเป็นการร่วมมือกับสถาบันที่มีคุณภาพ และต้องมีการควบคุมมาตรฐานอย่างเข้มงวด เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อการพัฒนาการศึกษาของประเทศ" ปลัด อว. กล่าว
ในการออกมาตรการเพิ่มเติมเพื่อกำกับดูแลสถาบันอุดมศึกษาที่มีต่างชาติถือหุ้น ปลัด อว. ยอมรับว่า ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ เพื่อไม่ให้เกิดการเลือกปฏิบัติระหว่างสถาบันที่มีต่างชาติถือหุ้นกับสถาบันของคนไทย และต้องสอดคล้องกับกฎหมายการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการหารือกับฝ่ายกฎหมายเพื่อหาแนวทางที่เหมาะสม
ฐานเศรษฐกิจ ตรวจสอบเพิ่มเติมว่า พระราชบัญญัติสถาบันอุดมศึกษาเอกชน มาตรา 84 ระบุว่า ในกรณีที่สถาบันอุดมศึกษาเอกชนใดไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ วิธีการ หรือเงื่อนไขที่คณะกรรมการกำหนดนั้น ให้คณะกรรมการเตือนเป็นหนังสือให้ปรับปรุงแก้ไขสิ่งต่าง ๆ ตามที่แจ้งไปภายในเวลาที่กำหนด
ถ้าหากสถาบันอุดมศึกษาเอกชนนั้นไม่ดำเนินการตาม ให้รัฐมนตรีโดยคำแนะนำของคณะกรรมการมีอำนาจสั่งให้งดรับนักศึกษาในสาขาวิชาใดสาขาวิชาหนึ่งหรือทุกสาขาวิชา เพิกถอนการรับรองวิทยฐานะ และเพิกถอนใบอนุญาตตามลำดับ