อินไซต์ ครม. “พีระพันธุ์” ข้องใจภาษีคาร์บอน ทำราคาขายปลีกน้ำมันเพิ่ม

21 ม.ค. 2568 | 16:38 น.
อัปเดตล่าสุด :21 ม.ค. 2568 | 16:45 น.
577

อินไซต์ ครม. วันนี้ ถกร่างกฎกระทรวงกำหนดพิกัดอัตรา ภาษีคาร์บอน นานสุด รองนายกฯ “พีระพันธุ์” ยังข้องใจ กำหนดราคาคาร์บอน อาจกระทบราคาขายปลีกน้ำมันเพิ่ม คลังต้องลุกอธิบาย

อินไซต์ ครม. วันนี้ (21 มกราคม 2568) แหล่งข่าวจากทำเนียบรัฐบาล เปิดเผยว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี ที่มีนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุม ที่ประชุมได้หารือถึงวาระพิจารณา เรื่องร่างกฎกระทรวงกำหนดพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่..) พ.ศ.... ที่เสนอเข้ามาโดยกระทรวงการคลัง นานที่สุด เพื่อกำหนดกลไกราคาคาร์บอน (Carbon Pricing) ในพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต

แหล่งข่าว ระบุว่า เมื่อที่ประชุม ครม. ได้หารือมาถึงวาระเรื่องนี้ ซึ่งเสนอเข้ามาเป็นวาระพิจารณาที่ 9 นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้สอบถามกลางวงครม. โดยกังวลว่า การกำหนดราคาคาร์บอนของสินค้าน้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมันที่ 200 บาทต่อตันคาร์บอนเทียบเท่า อาจส่งผลต่อราคาขายปลีกน้ำมันเพิ่มขึ้นได้ 

เมื่อพูดจบนายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง จึงได้อธิบายกลับไปว่า เรื่องนี้จะไม่มีผลต่อราคาขายปลีกน้ำมันแต่อย่างใด ด้วยเหตุนี้ที่ประชุม ครม. จึงมีมติอนุมัติ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ

แหล่งข่าวจากทำเนียบรัฐบาล แจ้งว่า ในการประชุมครม.ครั้งนี้ กระทรวงพลังงาน ได้ทำความเห็นเป็นเอกสารประกอบวาระครม.ครั้งนี้ โดยระบุว่า การกำหนดกลไกราคาคาร์บอนในพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิตสินค้าน้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน อาจจะส่งผลกระทบต่อราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงในอนาคต (ในกรณีที่มีการกำหนดเพิ่มอัตราราคาคาร์บอนหรือมีการแยกราคาคาร์บอนออกจากภาษีสรรพสามิตในอนาคต)

ทั้งนี้อาจทำให้ต้นทุนในภาคขนส่งได้รับผลกระทบนำไปสู่ปัญหาราคาสินค้าอุปโภคบริโภคที่เพิ่มขึ้น ซึ่งกระทบต่ออัตราเงินเฟ้อ ภาพรวมเศรษฐกิจ ค่าครองชีพของประชาชน และอุตสาหกรรมการผลิตของประเทศในระยะยาว

ขณะที่ กระทรวงคมนาคม เสนอความเห็นว่า ร่างกฎกระทรวงฉบับนี้เป็นการดำเนินการ ที่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบคมนาคมขนส่งของไทย ระยะ 20 ปี (พ.ศ. 2561-2580) โดยเฉพาะประเด็นการขนส่งที่ปลอดภัยและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Green and Safe Transport) อย่างไรก็ตาม ควรมีการพิจารณาถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากกฎกระทรวงดังกล่าวอย่างรอบด้าน เพื่อให้การดำเนินงานเกิดผลสัมฤทธิ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อไป

ด้าน กระทรวงพาณิชย์ มีข้อสังเกตถึงความเชื่อมโยงกับการที่หลายประเทศเริ่มกำหนดมาตรการเกี่ยวกับความรับผิดชอบต่อการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน และการกำหนดกลไกราคาคาร์บอน เพื่อให้เกิดความเท่าเทียมในภาระที่ต้องจ่ายเพื่อดูแลสิ่งแวดล้อม เช่น 

มาตรการปรับคาร์บอนก่อนเข้าพรมแดน (CBAM) ของสหภาพยุโรปที่ปัจจุบันยังอยู่ในช่วงระยะเวลาเปลี่ยนผ่านของการบังคับใช้มาตรการ และยังไม่ได้เผยแพร่รายละเอียดแนวทางปฏิบัติทั้งหมดอย่างชัดเจน ประเทศไทยจึงจำเป็นต้อง ติดตามพัฒนาการในเรื่องดังกล่าวต่อไปอย่างใกล้ชิด

ส่วน กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มีความเห็นเพิ่มเติมว่า คุณภาพน้ำมันกลุ่มน้ำมันเบนซินและน้ำมันดีเซล มีปริมาณกำมะถันไม่เกินร้อยละ 0.001 โดยน้ำหนัก ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.2567 เป็นต้นมา ดังนั้น กระทรวงการคลัง จึงควรปรับปรุงรายละเอียดบันทึกหลักการและเหตุผลประกอบร่างกฎกระทรวงฯ ซึ่งระบุปริมาณกำมะถันไว้ให้สอดคล้องกับประกาศของกรมธุรกิจพลังงานที่บังคับใช้ในปัจจุบัน

รวมทั้งควรกำหนดกลไกราคาคาร์บอนของสินค้าน้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน โดยพิจารณาจากค่าสัมประสิทธิ์การปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Emission Factor) ให้สอดคล้องกับค่าสัมประสิทธิ์ที่ประกาศโดยกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (UNFCCC) พ.ศ. 2565

ขณะเดียวกันยังควรเพิ่มความตระหนักด้านมลพิษฝุ่น PM 2.5 ซึ่งส่งผลกระทบต่อสุขภาพด้วยเช่นกัน โดยอาจพิจารณาความเหมาะสมของราคาคาร์บอนที่ 200 บาทต่อตันคาร์บอนเทียบเท่า สามารถครอบคลุมการปล่อยฝุ่น PM2.5 ได้หรือไม่

นอกจากนี้ สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เห็นว่า ในระยะต่อไปควรพิจารณาจัดสรร งบประมาณสำหรับส่งเสริมกิจกรรมที่มีส่วนช่วยในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพิ่มขึ้น โดยกระทรวงการคลัง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรหารือร่วมกัน เพื่อพิจารณากำหนดกลไกราคาและอัตราการจัดเก็บภาษีคาร์บอนในสินค้าประเภทอื่นที่มีสัดส่วนการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูง 

ควบคู่กับการเร่งรัดการกำหนดกลไกระบบการซื้อขายสิทธิในการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Emissions Trading Scheme) ภายใต้บริบทและกรอบการดำเนินการตามมาตรการด้านสิ่งแวดล้อมของโลก เพื่อให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ในการบรรลุเป้าหมายด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขันและการเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมด้วย