อินไซต์ ครม. วันนี้ (21 มกราคม 2568) แหล่งข่าวจากทำเนียบรัฐบาล เปิดเผยว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี ที่มีนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุม ที่ประชุมได้หารือถึงวาระพิจารณา เรื่องร่างกฎกระทรวงกำหนดพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่..) พ.ศ.... ที่เสนอเข้ามาโดยกระทรวงการคลัง นานที่สุด เพื่อกำหนดกลไกราคาคาร์บอน (Carbon Pricing) ในพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต
แหล่งข่าว ระบุว่า เมื่อที่ประชุม ครม. ได้หารือมาถึงวาระเรื่องนี้ ซึ่งเสนอเข้ามาเป็นวาระพิจารณาที่ 9 นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้สอบถามกลางวงครม. โดยกังวลว่า การกำหนดราคาคาร์บอนของสินค้าน้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมันที่ 200 บาทต่อตันคาร์บอนเทียบเท่า อาจส่งผลต่อราคาขายปลีกน้ำมันเพิ่มขึ้นได้
เมื่อพูดจบนายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง จึงได้อธิบายกลับไปว่า เรื่องนี้จะไม่มีผลต่อราคาขายปลีกน้ำมันแต่อย่างใด ด้วยเหตุนี้ที่ประชุม ครม. จึงมีมติอนุมัติ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
แหล่งข่าวจากทำเนียบรัฐบาล แจ้งว่า ในการประชุมครม.ครั้งนี้ กระทรวงพลังงาน ได้ทำความเห็นเป็นเอกสารประกอบวาระครม.ครั้งนี้ โดยระบุว่า การกำหนดกลไกราคาคาร์บอนในพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิตสินค้าน้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน อาจจะส่งผลกระทบต่อราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงในอนาคต (ในกรณีที่มีการกำหนดเพิ่มอัตราราคาคาร์บอนหรือมีการแยกราคาคาร์บอนออกจากภาษีสรรพสามิตในอนาคต)
ทั้งนี้อาจทำให้ต้นทุนในภาคขนส่งได้รับผลกระทบนำไปสู่ปัญหาราคาสินค้าอุปโภคบริโภคที่เพิ่มขึ้น ซึ่งกระทบต่ออัตราเงินเฟ้อ ภาพรวมเศรษฐกิจ ค่าครองชีพของประชาชน และอุตสาหกรรมการผลิตของประเทศในระยะยาว
ขณะที่ กระทรวงคมนาคม เสนอความเห็นว่า ร่างกฎกระทรวงฉบับนี้เป็นการดำเนินการ ที่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบคมนาคมขนส่งของไทย ระยะ 20 ปี (พ.ศ. 2561-2580) โดยเฉพาะประเด็นการขนส่งที่ปลอดภัยและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Green and Safe Transport) อย่างไรก็ตาม ควรมีการพิจารณาถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากกฎกระทรวงดังกล่าวอย่างรอบด้าน เพื่อให้การดำเนินงานเกิดผลสัมฤทธิ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อไป
ด้าน กระทรวงพาณิชย์ มีข้อสังเกตถึงความเชื่อมโยงกับการที่หลายประเทศเริ่มกำหนดมาตรการเกี่ยวกับความรับผิดชอบต่อการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน และการกำหนดกลไกราคาคาร์บอน เพื่อให้เกิดความเท่าเทียมในภาระที่ต้องจ่ายเพื่อดูแลสิ่งแวดล้อม เช่น
มาตรการปรับคาร์บอนก่อนเข้าพรมแดน (CBAM) ของสหภาพยุโรปที่ปัจจุบันยังอยู่ในช่วงระยะเวลาเปลี่ยนผ่านของการบังคับใช้มาตรการ และยังไม่ได้เผยแพร่รายละเอียดแนวทางปฏิบัติทั้งหมดอย่างชัดเจน ประเทศไทยจึงจำเป็นต้อง ติดตามพัฒนาการในเรื่องดังกล่าวต่อไปอย่างใกล้ชิด
ส่วน กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มีความเห็นเพิ่มเติมว่า คุณภาพน้ำมันกลุ่มน้ำมันเบนซินและน้ำมันดีเซล มีปริมาณกำมะถันไม่เกินร้อยละ 0.001 โดยน้ำหนัก ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.2567 เป็นต้นมา ดังนั้น กระทรวงการคลัง จึงควรปรับปรุงรายละเอียดบันทึกหลักการและเหตุผลประกอบร่างกฎกระทรวงฯ ซึ่งระบุปริมาณกำมะถันไว้ให้สอดคล้องกับประกาศของกรมธุรกิจพลังงานที่บังคับใช้ในปัจจุบัน
รวมทั้งควรกำหนดกลไกราคาคาร์บอนของสินค้าน้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน โดยพิจารณาจากค่าสัมประสิทธิ์การปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Emission Factor) ให้สอดคล้องกับค่าสัมประสิทธิ์ที่ประกาศโดยกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (UNFCCC) พ.ศ. 2565
ขณะเดียวกันยังควรเพิ่มความตระหนักด้านมลพิษฝุ่น PM 2.5 ซึ่งส่งผลกระทบต่อสุขภาพด้วยเช่นกัน โดยอาจพิจารณาความเหมาะสมของราคาคาร์บอนที่ 200 บาทต่อตันคาร์บอนเทียบเท่า สามารถครอบคลุมการปล่อยฝุ่น PM2.5 ได้หรือไม่
นอกจากนี้ สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เห็นว่า ในระยะต่อไปควรพิจารณาจัดสรร งบประมาณสำหรับส่งเสริมกิจกรรมที่มีส่วนช่วยในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพิ่มขึ้น โดยกระทรวงการคลัง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรหารือร่วมกัน เพื่อพิจารณากำหนดกลไกราคาและอัตราการจัดเก็บภาษีคาร์บอนในสินค้าประเภทอื่นที่มีสัดส่วนการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูง
ควบคู่กับการเร่งรัดการกำหนดกลไกระบบการซื้อขายสิทธิในการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Emissions Trading Scheme) ภายใต้บริบทและกรอบการดำเนินการตามมาตรการด้านสิ่งแวดล้อมของโลก เพื่อให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ในการบรรลุเป้าหมายด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขันและการเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมด้วย