คลังสูญรายได้แสนล้าน "ลดภาษีอุ้มดีเซล" ถึงสิ้นปี

12 ก.ย. 2565 | 11:59 น.
อัปเดตล่าสุด :12 ก.ย. 2565 | 19:01 น.

คลังกุมขมับ สูญรายได้นับแสนล้านบาท จากมาตรการลดภาษี ดูแลราคาน้ำมันดีเซลในประเทศ จ่อชงครม. 13 กันยายนนี้ ขยายเวลามาตรการลดภาษีลิตรละ 5 บาท ยาวถึงสิ้น 65 ด้านสรรพสามิตดึงเทคโนโลยีจับลักลอบขนน้ำมันเขียว เหตุยกเว้นภาษีเพื่อช่วยเหลือเรือประมง

แม้ทิศทางราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกช่วงครึ่งปีหลังจะปรับตัวลดลงจากครึ่งปีแรกที่สูงกว่าระดับ 100 ดอลลาร์ต่อบาเรล จากผลกระทบความกังวลเศรษฐกิจโลกถดถอยและเงินเฟ้อสูง แต่ราคาน้ำมันยังได้รับแรงสนับสนุนจาก ความไม่แน่นอนของสถานการณ์ในรัสเซีย และราคาก๊าซธรรมชาติที่ปรับตัวสูงขึ้น หนุนความต้องการใช้น้ำมันสำเร็จรูป หรือน้ำมันเชื้อเพลิงมากขึ้น

 

ขณะที่ราคาน้ำมันสำเร็จรูปคาดว่า จะอ่อนตัวลงไปเช่นกัน จากก่อนหน้านี้ราคาปรับตัวขึ้นไปพอสมควรแล้ว อีกทั้งความต้องการใช้น้ำมันก็ไม่ได้ลดลงไป เพราะจะเข้าสู่ช่วงฤดูหนาว

 

ล่าสุดที่ประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ได้พิจารณาแนวทางบรรเทาผลกระทบจากราคาน้ำมัน โดยมีมติเห็นชอบขยายมาตรการบรรเทาผลกระทบจากราคาน้ำมันดีเซลที่ปรับตัวสูงขึ้น ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม-31 ธันวาคม 2565 โดยให้คงสัดส่วนผสมไบโอดีเซลในน้ำมันดีเซลหมุนเร็วอยู่ที่ 5%(B5)และขอความร่วมผู้ค้าน้ำมันคงค่าการตลาดน้ำมันเชื้อเพลิงกลุ่มดีเซล ไม่เกิน 1.40 บาทต่อลิตร

 

 ขณะเดียวกันกระทรวงการคลังและกระทรวงพลังงานได้หารือถึงการขยายระยะเวลามาตรการลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซล เพื่อแบ่งเบาภาระค่าครองชีพประชาชน ออกไปจนถึงสิ้นปี จากปัจจุบันที่มาตรการลดภาษีน้ำมันดีเซลลง 5 บาทต่อลิตร จะสิ้นสุดลงในวันที่ 20 กันยายนนี้ ซึ่งคาดว่า จะมีการนำเสนอในที่ประชุม ครม. อังคารที่ 13 กันยายนนี้

 

ทั้งนี้ผลกระทบความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ทำให้ราคาน้ำมันในตลาดปรับขึ้นสูงต่อเนื่องจนเกิน  100 ดอลลาร์ต่อบาเรล ขณะเดียวกันกองทุนน้ำมันและเชื้อเพลิงได้เข้าไปอุดหนุนราคาน้ำมัน เพื่อตรึงราคาน้ำมันดีเซลไม่ให้เกิน 30-35 บาทต่อลิตร ส่งผลให้กองทุนน้ำมันขาดสภาพคล่องติดลบกว่า 1.2 แสนล้านบาท

 

กระทรวงการคลังจึงได้ปรับลดอัตราการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลลง ซึ่งจนถึงปัจจุบันรวม 3 ครั้ง โดย

  • ครั้งที่ 1 วันที่ 18 กุมภาพันธ์-20 พฤษภาคม 2565 ลดภาษีลง 3 บาทต่อลิตร เป็นเวลา 3 เดือน ส่งผลให้รัฐบาลสูญเสียรายได้ 18,000 ล้านบาท
  • ครั้งที่ 2 ช่วงวันที่ 21 พฤษภาคม-20 กรกฎาคม เป็นเวลา 3 เดือน โดยลดภาษีดีเซลลง 5 บาทต่อลิตร รัฐสูญรายได้ 30,000 ล้านบาท
  • ครั้งที่ 3 เป็นการขยายอายุมาตรการออกไปจนถึงวันที่ 20 กันยายนนี้ ในอัตราลดภาษีเดิมที่ 5 บาทต่อลิตร

 

จากการใช้มาตรการลดภาษีน้ำมันดีเซลลงทั้ง 3 ครั้งทำให้รัฐสูญรายได้ประมาณ 68,000 ล้านบาท ดังนั้นหากรัฐบาลจะทำการขยายมาตรการลดภาษีดีเซลในอัตรา 5 บาทต่อลิตรไปจนถึงสิ้นปี 2565 จะทำให้รัฐสูญเสียรายได้จากภาษีเพิ่มอีก 30,000 ล้านบาท และทำให้การดำเนินมาตรการภาษี เพื่อดูแลราคาน้ำมันดีเซลในประเทศ รัฐบาลใช้เงินทั้งหมดราว  98,000 ล้านบาท

 

ทั้งนี้จากผลการจัดเก็บรายได้รัฐบาลในช่วง 10 เดือนของปีงบประมาณ 2565 ระหว่างเดือนตุลาคม 2564-กรกฎาคม 2565 รัฐบาลจัดเก็บรายได้สุทธิ 2,037,459 ล้านบาท สูงกว่าประมาณการตามเอกสารงบประมาณ 105,908 ล้านบาทหรือ 5.5% และสูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน 5.8%

 

การจัดเก็บรายได้ของกรมภาษีสำคัญพบว่า กรมสรรพากรจัดเก็บรายได้จำนวน 1,670,271 ล้านบาท สูงกว่าประมาณการตามเอกสารงบประมาณ 206,242 ล้านบาท หรือ 14.1% และสูงกว่าช่วงเดียวกันปีก่อน 15.1% ซึ่งเป็นไปตามการขยายตัวของเศรษฐกิจ การบริโภคและมูลค่าการนำเข้า ส่งผลให้ภาษีมูลค่าเพิ่มและภาษีเงินได้นิติบุคคล สูงกว่าประมาณการ

 

ขณะที่การจัดเก็บรายได้ของกรมสรรพสามิตอยู่ที่ 428,556 ล้านบาท โดยต่ำกว่าประมาณการตามเอกสารงบประมาณ 68,984 ล้านบาท หรือ 13.9% และต่ำกว่าช่วงเดียวกันปีก่อน 6.2% เนื่องจากมีการลดอัตราภาษีสรรพสามิตสำหรับน้ำมันดีเซล เพื่อช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนเป็นการชั่วคราวจากราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่ปรับตัวสูงขึ้น

 

การจัดเก็บรายได้จากภาษีน้ำมัน ซึ่งเป็นรายได้อันดับหนึ่งของกรมสรรพสามิตในช่วง 10 เดือนปีงบประมาณ 2565 ได้ทั้งสิ้น 148,647 ล้านบาทน้อยกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน 55,137 ล้านบาทจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่จัดเก็บได้ 203,784 ล้านบาทหรือต่ำกว่าปีก่อน 27.06% ซึ่งเป็นผลจากการปรัยลดอัตราภาษีน้ำมันดีเซลดังกล่าว

 

นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพสามิตเปิดเผยว่า กรมสรรพสามิตได้นำเทคโนโลยีดิจิทัล ซึ่งเป็นระบบสำแดงอัตโนมัติผ่านดาวเทียม ติดตั้งที่เรือแทงก์เกอร์หรือเรือจำหน่ายน้ำมันดีเซล(น้ำมันเขียว)กลางทะเลสำหรับจำหน่ายให้เรือประมงที่ได้รับใบอนุญาตเท่านั้น ซึ่งกรมสรรพสามิตได้ยกเว้นการจัดเก็บภาษีเพื่อช่วยเหลือเรือประมงชายฝั่ง ทำให้ราคาน้ำมันเขียวถูกกว่าราคาน้ำมันดีเซลบนบก ประมาณ 10 บาท/ลิตร 

คลังสูญรายได้แสนล้าน \"ลดภาษีอุ้มดีเซล\" ถึงสิ้นปี

 

ซึ่งในแต่ละปี กรมสรรพสามิตจะสูญเสียรายได้จากเว้นภาษีดังกล่าวประมาณ 4,000 ล้านบาทต่อปีจากน้ำมันเขียวที่ใช้ที่ประมาณ 600 ล้านลิตรต่อปี

 

“ที่ผ่านมาแม้จะมีการควบคุมการจำหน่ายน้ำมันเขียวโดย 3 หน่วยงาน คือ สรรพสามิต สรรพากรและตำรวจน้ำ แต่เนื่องจากการทำบัญชีซื้อขายจะทำโดยผู้ควบคุมเรือแทงก์เกอร์ ซึ่งเสี่ยงต่อการรั่วไหล เพราะกรมฯตรวจสอบพบว่า ปริมาณความต้องการน้ำมันของเรือประมงที่มีใบอนุญาตให้ซื้อได้นั้น น้อยกว่าปริมาณที่เรือแทงก์เกอร์ขายได้ถึง 20%-30% ซึ่งส่วนต่างที่หายไป เนื่องจากขายให้เรือประมงที่ไม่ได้รับใบอนุญาตเพื่อนำไปขายต่อบนบก”

 

นายเอกนิติกล่าวอีกว่า สำหรับระบบที่จะนำมาใช้ จะมีการติดตั้งที่เรือแทงก์เกอร์ โดยใช้สัญญาควบคุมดาวเทียม และส่งข้อมูลมายังศูนย์ควบคุมที่กรุงเทพ โดยศูนย์จะสามารถรู้ได้แบบเรียลไทม์ ว่ามีเรือประมงเข้าใกล้เรือแทงก์เกอร์จำนวนกี่ลำ เวลาไหน รวมถึงปริมาณน้ำมันเขียวที่ถูกถ่ายออกจากเรือแทงก์เกอร์ ซึ่งหากปริมาณผิดปกติ กรมฯ จะส่งจนท.ตรวจสอบและดำเนินการลงโทษทันที

คลังสูญรายได้แสนล้าน \"ลดภาษีอุ้มดีเซล\" ถึงสิ้นปี

นอกจากกรมสรรพสามิต จะเข้ามาแบกรับค่าครองชีพโดยการลดภาษีน้ำมันดีเซลแล้ว ยังมีในส่วนของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ได้เข้ามาช่วยอุดหนุนราคาน้ำมันดีเซลเพื่อไม่ให้เกิน 35 บาทต่อลิตร ล่าสุดข้อมูลวันที่ 4 กันยายน 2565 กองทุนน้ำมันฯ มีฐานติดลบอยู่ที่ 122,214 ล้านบาท เป็นในส่วนการอุดหนุนน้ำมันดีเซลถึง 80,343 ล้านบาท และอุดหนุนก๊าซหุงต้ม  41,871 ล้านบาท 

 

อีกทั้ง มีในส่วนของการอุ้มค่าไฟฟ้าไม่ให้ขยับขึ้นตามต้นทุนที่เป็นจริง โดยการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ได้เข้ามาช่วยแบกรับค่าไฟฟ้าอยู่ที่ 83,010 ล้านบาท แม้จะปรับค่าเอฟทีในรอบเดือนกันยายน-ธันวาคม 2565 เพิ่มอีก 68.66 สตางค์ต่อหน่วย แล้วก็ตาม ดังนั้น จะเห็นว่าในรอบปี 2565 ต้องใช้เงินในการแบ่งเบาค่าครองชีพด้านพลังงานให้กับประชาชนราว 3 แสนล้านบาท

 

หน้า 1  หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 42 ฉบับที่ 3,817 วันที่ 11 - 14 กันยายน พ.ศ. 2565