ข่าวดี! ไทยพัฒนาเครื่องตรวจโควิดจากลมหายใจสำเร็จ ดีอย่างไร อ่านเลย

05 ส.ค. 2565 | 04:11 น.
อัปเดตล่าสุด :05 ส.ค. 2565 | 04:26 น.
1.9 k

ข่าวดี! ไทยพัฒนาเครื่องตรวจโควิดจากลมหายใจสำเร็จ ดีอย่างไร อ่านเลยที่นี่มีคำตอบ หมอเฉลิมชัยเผยต่อยอดมาจากเครื่องตรวจระดับน้ำตาลในเลือด

น.พ.เฉลิมชัย บุญยะลีพรรณ (หมอเฉลิมชัย) รองประธานกรรมาธิการการสาธารณสุข วุฒิสภา โพสต์ blockdit ส่วนตัว "ร้อยแปดพันเก้ากับหมอเฉลิมชัย" โดยมีข้อความว่า

 

ข่าวดี !! ไทยสามารถพัฒนาเครื่องตรวจโควิดจากลมหายใจได้แล้ว

 

มีข่าวจากสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ(วช) ว่า นักวิจัยของไทย ซึ่งเป็นความร่วมมือกันของสมาคมกีฬาเครื่องบินจำลองและวิทยุบังคับ โรงพยาบาลราชวิถี มหาวิทยาลัยมหิดลและภาคเอกชน โดยการได้รับทุนสนับสนุนจากสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ

 

ได้รายงานความสำเร็จของการวิจัยพัฒนา เครื่องตรวจคัดกรองผู้ติดโควิด

 

โดยการวิเคราะห์จากลมหายใจ ซึ่งมีข้อเด่นหลายประการดังนี้

 

  • ไม่ต้องแยงจมูก และไม่ต้องใช้บุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญทางการแพทย์
  • รู้ผลเร็วภายใน 5 นาที
  • ค่าใช้จ่ายต่ำประมาณ 10 บาทต่อคน
  • มีความแม่นยำสูง 97%

โดยมีรายละเอียดว่า เป็นการพัฒนาต่อยอดมาจากเครื่องตรวจระดับน้ำตาลในเลือดโดยใช้ลมหายใจ

 

ทั้งนี้ได้เริ่มศึกษาเก็บข้อมูลตั้งแต่ปี 2563 เมื่อมีข้อมูลมากขึ้น จึงได้ขอทุนวิจัยจากวช.ในปี 2564 และทำการทดลองในคน

 

เป็นเทคโนโลยีจมูกอิเล็กทรอนิกส์หรือก๊าซเซ็นเซอร์ แล้ววัดสารระเหยอินทรีย์ ที่จะมีความแตกต่างระหว่างผู้ติดโควิดและไม่ติดโควิด

 

ไทยพัฒนาเครื่องตรวจโควิดจากลมหายใจสำเร็จ

 

ขณะนี้อยู่ในระหว่างรอการตีพิมพ์ในวารสารทางวิชาการ แต่ได้ทยอยจดทะเบียนไปแล้ว 12 ประเทศ ใน 6 ทวีป

 

ในเรื่องเครื่องตรวจคัดกรองผู้ติดโควิดโดยการใช้ลมหายใจนั้น เป็นเทคโนโลยีที่ปรากฏเป็นครั้งแรกเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2564 ที่ประเทศเนเธอร์แลนด์

และในเดือนเมษายน 2565 USFDA ก็ได้อนุมัติให้ใช้เครื่องตรวจโควิดจากลมหายใจในสถานการณ์ฉุกเฉิน(EUA) ซึ่งเทคโนโลยีของสหรัฐฯนั้น รู้ผลภายใน 3 นาที มีความแม่นยำ 99.3% จากกลุ่มตัวอย่าง 2409 คน

 

จึงนับว่าเป็นข่าวดีและน่าชื่นชมเป็นอย่างยิ่ง ที่นักวิทยาศาสตร์ไทยมีความรู้ความสามารถในการวิจัยพัฒนา

 

และเกิดเครื่องมือที่มีประโยชน์ ในระยะเวลาที่ไล่เลี่ย และมีคุณภาพที่ใกล้เคียงกับของประเทศชั้นนำของโลก เช่น สหรัฐอเมริกาและเนเธอร์แลนด์

 

ทำให้ไทยสามารถลดการนำเข้า และยืนอยู่บนขาของตนเองได้