หอการค้าฯหวั่นวิกฤตรัสเซีย-ยูเครนยืดเยื้อ กระทบกำลังซื้อประชาชน

03 มี.ค. 2565 | 13:32 น.
อัปเดตล่าสุด :03 มี.ค. 2565 | 21:14 น.

หอการค้าฯ คาดรัสเซีย-ยูเครนยืดเยื้อ แม้กระทบไทยไม่มาก  แต่หวั่นผลกระทบทางอ้อม กระทบกำลังซื้อประชาชน แนะผู้ประกอบการไทยควรระมัดระวังเรื่องการชำระเงินและรับคำสั่งซื้อ ซึ่งอาจเกิดความล่าช้า

นายสนั่น  อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครน มีแนวโน้มที่จะยืดเยื้อ ซึ่งทั่วโลกกำลังจับตามองอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะท่าทีของนาโต้และการพิจารณารับยูเครนเข้าเป็นสมาชิกของสหภาพยุโรป ซึ่งส่งผลต่อราคาพลังงานในตลาดโลกซึ่งในระยะนี้ ผู้ประกอบการไทยควรระมัดระวังเรื่องการชำระเงินและรับคำสั่งซื้อ

นายสนั่น  อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไท

ซึ่งอาจเกิดความล่าช้าในการชำระเงินมากกว่าปกติ แต่คาดว่าผู้ประกอบการไทยอาจจะไม่ได้รับผลกระทบโดยตรงมากนัก เนื่องจากไทยกับทั้งรัสเซียและยูเครน มีปริมาณการค้าต่อกันไม่มาก ประมาณ 0.5% ของมูลค่าส่งออกทั้งหมดของไทย และ 0.9% ของมูลค่านำเข้าทั้งหมดของไทย รวมถึงอาจพิจารณาไปใช้ช่องทางอื่นในการรับชำระเงิน เช่น การชำระเงินผ่านระบบ SWIFT กับธนาคารในประเทศรัสเซียที่ไม่ถูก sanction การชำระเงินผ่านระบบ CIPS ของจีน หรือ การชำระเงินผ่านประเทศที่สาม

 

 

หอการค้าฯหวั่นวิกฤตรัสเซีย-ยูเครนยืดเยื้อ กระทบกำลังซื้อประชาชน

ซึ่งเมื่อวานนี้ ทางผู้แทนก็ได้มีการหารือกับกระทรวงพาณิชย์ เพื่อเตรียมรับมือในส่วนนี้แล้ว โดยภาคเอกชนประเมินว่า ผู้ประกอบการไทยที่จะได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ดังกล่าว ได้แก่ กลุ่มผู้ผลิตอาหารสัตว์ อุตสาหกรรมเหล็ก อุตสาหกรรมยางรถยนต์ อุตสาหกรรมอาหารและแปรรูป กลุ่ม SME โดยเฉพาะเครื่องสำอางและอัญมณี ที่รัสเซียเป็นลูกค้ารายใหญ่และตลาดกำลังเติบโต รวมทั้งกลุ่มธุรกิจท่องเที่ยวและการบริการ ซึ่งในปัจจุบันนักท่องเที่ยวจากรัสเซียเป็นนักท่องเที่ยวอันดับ 1 ของไทย

หอการค้าฯหวั่นวิกฤตรัสเซีย-ยูเครนยืดเยื้อ กระทบกำลังซื้อประชาชน

 

“หอการค้าไทยคาดว่าสถานการณ์คงยืดเยื้อแน่นอน แต่ในระยะสั้นนี้ จะเป็นผลกระทบทางตรงซึ่งมีไม่มากนัก แต่ผลทางอ้อมจะสำคัญต่อประเทศไทยมากกว่า คือ ราคาน้ำมันวันนี้ทะลุ 115 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล (เมื่อวานอยู่ที่ 100 ต้น ๆ) ซึ่งมีโอกาสจะทะลุ 120 โดยง่าย ส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมันในประเทศไทย ประมาณ 5.0-7.5 บาทต่อลิตร เมื่อเทียบกับปลายเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งผลกระทบทางอ้อมนี้ ส่งผลต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคแน่นอน ทำให้ไม่กล้าจับจ่ายใช้สอย เพราะสินค้ามีราคาแพง ซึ่งต้องขอขอบคุณรัฐบาลไทยที่ช่วยลดภาษี และตรึงราคาน้ำมันภายในประเทศในช่วงนี้ และอยากให้พิจารณามาตรการนี้ต่อหากเหตุการณ์ยืดเยื้อ” นายสนั่น กล่าว

หอการค้าฯหวั่นวิกฤตรัสเซีย-ยูเครนยืดเยื้อ กระทบกำลังซื้อประชาชน

ในด้านการท่องเที่ยว คาดว่านักท่องเที่ยวในปีนี้จากรัสเซียอาจจะหายไปประมาณ 2.5 แสนคน เนื่องจากมีข้อจำกัดของการเดินทาง ลดลงจากเดิมที่เคยประเมินว่าปีนี้จะมีเข้ามา 5 แสนคน อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยก็ยังคาดหวังว่าจะมีนักท่องเที่ยวจากซาอุดิอาระเบียเข้ามาประเทศไทยเพิ่มขึ้น เพื่อทดแทนรายได้ในส่วนนี้

หอการค้าฯหวั่นวิกฤตรัสเซีย-ยูเครนยืดเยื้อ กระทบกำลังซื้อประชาชน

สำหรับผลกระทบด้านอื่นที่จะเกิดขึ้น คือเรื่องต้นทุนวัตถุดิบอาหารสัตว์ทั้งโลก (ข้าวสาลีและข้าวโพด) จะเพิ่มสูงขึ้น เพราะทางยูเครนเป็นประเทศที่ส่งออกทั้งข้าวสาลีและข้าวโพดรายใหญ่ของโลก ซึ่งมันสำปะหลังก็เป็นสินค้าทดแทนจึงแนะนำให้ภาครัฐควบคุมราคาวัตถุดิบภายในประเทศ ในขณะเดียวกันก็อาจจะเป็นโอกาสของธุรกิจมันสำปะหลังของไทย ที่จะเข้ามาทดแทนส่วนนี้ในอนาคต

หอการค้าฯหวั่นวิกฤตรัสเซีย-ยูเครนยืดเยื้อ กระทบกำลังซื้อประชาชน

นอกจากนั้น ในส่วนของการค้าระหว่างประเทศที่จะกระทบ global supply chain ที่ยังต้องจับตามองผลกระทบจากค่าระวางเรือที่จะเพิ่มสูงขึ้น อันเนื่องมาจากสายเรืองดรับ booking ในเส้นทางรัสเซีย-ยูเครน และบริษัทประกันภัยไม่รับประกันการขนส่งสินค้าในเส้นทางดังกล่าว ทำให้ต้องพิจารณาใช้เส้นทางทางบกหรือระบบราง และต้องขนส่งผ่านประเทศอื่น ๆ เพื่อเข้าไปยังรัสเซียและยูเครน อย่างไรก็ตาม ขณะนี้เริ่มมีประกาศจากสายเรือที่พร้อมให้บริการบ้างแล้วว่า สินค้าที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต เช่น อาหาร ยา และสิ่งของจำเป็นอื่น ๆ ยังสามารถส่งเข้ารัสเซียได้

หอการค้าฯหวั่นวิกฤตรัสเซีย-ยูเครนยืดเยื้อ กระทบกำลังซื้อประชาชน

ส่วนผลกระทบในระยะกลางและระยะยาว ประเมินว่า จะเกิดผลกระทบด้านโลจิสติกส์ โดยอาจเกิดภาวะขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์ จึงขอเสนอให้ภาครัฐเร่งเจรจาจัดทำ Transit Agreement กับประเทศจีน และให้ศึกษาการใช้ประโยชน์จากสิทธิพิเศษทางภาษีของสหภาพยูเรเซีย เพื่อพิจารณาเป็นเส้นทางในการขนส่งสินค้าใหม่ นอกจากนั้น ยังคงต้องติดตามภาวะเงินเฟ้อและการส่งออกอย่างต่อเนื่อง เพราะจะเป็นปัจจัยสำคัญในการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยในปีนี้ ทั้งนี้ ภาครัฐควรรักษาอัตราแลกเปลี่ยนให้อยู่ในระดับ 32.5-33.5 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ