รัฐเดินหน้าดึงทุนต่างประเทศ 1 ล้านล้าน ลงทุน 5 อุตสาหกรรมเป้าหมาย

10 ก.พ. 2565 | 12:54 น.
อัปเดตล่าสุด :10 ก.พ. 2565 | 21:12 น.
605

หัวหน้าทีมปฏิบัติการเชิงรุกดึงดูดการลงทุนในประเทศไทย เปิดแผนการดึงดูดการลงทุนต่างประเทศ 1 ล้านล้านบาท ผ่านอุตสาหกรรมเป้าหมาย 5 ประเภท หวังผลักดันจีดีพีไทยขยายตัวได้อีกปีละ 3%

ม.ล.ชโยทิต กฤดากร ผู้แทนการค้าไทย ในฐานะหัวหน้าทีมปฏิบัติการเชิงรุกดึงดูดการลงทุนในประเทศไทย เปิดเผยว่า ทีมปฏิบัติการเชิงรุกฯ ได้วางแผนการดึงดูดนักลงทุนจากต่างประเทศเข้ามาลงทุนในประเทศไทยต่อเนื่อง โดยตั้งเป้าหมายในช่วง 1-2 ปีนี้ จะสามารถดึงดูดเงินการลงทุนได้ 1 ล้านล้านบาท ผ่านอุตสาหกรรมเป้าหมาย 5 ประเภท ดังนี้

 

1. อุตสาหกรรมรถยนต์

 

2. อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์

 

3. อุตสาหกรรมยา

 

4. อุตสาหกรรมดิจิทัล 

 

5. อุตสาหกรรมการท่องเที่ยว

ทั้งนี้ในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา ทีมปฏิบัติการเชิงรุกฯ ได้จัดทำแผนและมาตรการเพื่อดึงดูดการลงทุนอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าจะยังไม่เต็มที่ 100% แต่ก็สามารถจัดทำรายละเอียดต่าง ๆ ออกมาได้อย่างต่อเนื่อง

 

โดยเฉพาะการจัดทำสิทธิประโยชน์ทางด้านวีซ่าสำหรับผู้พำนักระยะยาว (LTR) สูงสุด 10 ปี การขยายเวลาการแจ้งที่พำนักอาศัยต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เมื่อครบ 1 ปี จากเดิมทุก 90 วัน 

 

“อุตสาหกรรมหลักทั้ง 5 ประเภท เป็นอุตสาหกรรมที่เราต้องพึ่งพาต่างประเทศ และยังไม่มีศักยภาพที่จะทำเองได้ จึงจำเป็นต้องหาทางดึงนักลงทุนเข้ามาพัฒนาในประเทศ โดยถ้าเอารถยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ และท่องเที่ยวมารวมกันจะพบว่า แค่ 3 ประเภท จะมีผลต่อจีดีพีมากถึง 50% และหากทำได้ทั้งหมดจะช่วยผลักดันจีดีพีให้ขยายตัวได้ประมาณปีละ 3% ได้”

อย่างไรก็ตามในเรื่องสำคัญอย่างหนึ่ง คือ รถยนต์ไฟฟ้า หรือรถยนต์ EV ที่ผ่านมาทางคณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ ได้หารือกับผู้ประกอบการในประเทศไทย ซึ่งปัจจุบันมีประมาณ 15 รายเดิมที่อยู่ในไทยอยู่แล้ว ทั้งญี่ปุ่น ยุโรป และสหรัฐอเมริกา รวมทั้งยังมีจากประเทศจีนเข้ามาเพิ่มอีก 3-4 ราย ก็ได้รับการตอบรับที่ดี

 

ม.ล.ชโยทิต กล่าวว่า การผลักดันอุตสาหกรรมทั้งหมดให้ได้นั้น ตั้งแต่ต้นปีก่อน ทีมปฏิบัติการเชิงรุกฯ ได้หารือกับสถานทูตทั้งเอเชีย ยุโรป และสหรัฐอเมริกา รวมทั้งหอการค้าต่างประเทศ และบริษัทที่ลงทุนในประเทศ ซึ่งทั้งหมดได้สะท้อนความต้องการว่าอยากให้รัฐช่วยปลดล็อกเรื่องวีซ่า ซึ่งขณะนี้ก็ได้ดำเนินการไปเรียบร้อยแล้ว และจะมีผลในทางปฏิบัติประมาณ 2 เดือนจากนี้