“จุรินทร์”สั่งค้าภายใน ตรวจเข้ม ห้ามฉวยโอกาสขึ้นราคาสินค้าช่วงน้ำท่วม

นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า สำหรับสถานการณ์ราคาสินค้าในช่วงน้ำท่วมด้วย ตอนนี้ยังไม่มีคนร้องเรียนแต่ถ้ามีสามารถร้องเรียนไปที่สายด่วน 1569  และได้สั่งการพาณิชย์จังหวัดกำชับว่าห้ามให้มีการฉวยโอกาสขึ้นราคาขึ้นเด็ดขาด โดยมีข้อหาจำคุกไม่เกิน 7 ปี ปรับไม่เกิน 140,000 บาทหรือทั้งจำทั้งปรับ และวันที่ 30กันยายน ถึง 2 ตุลาคมนี้ จะเดินทางไปภาคเหนือหลายจังหวัด และไปติดตามสถานการณ์สินค้าและราคาสินค้าในพื้นที่น้ำท่วม

"จะมีการประชุมพาณิชย์จังหวัดหรือทีมเซลล์แมนจังหวัดในแต่ละจังหวัด เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาการฉวยโอกาสขึ้นราคาสินค้า ถ้าสินค้าชนิดใดที่มีแนวโน้มว่าหลังน้ำท่วมอาจจะขาดตลาดก็ให้เร่งดำเนินการเตรียมการ อย่าให้ขาดเช่น สินค้าที่เกี่ยวข้องกับการทำความสะอาดบ้านเรือน หรือสินค้าที่เกี่ยวข้องกับการก่อสร้างบ้านเรือนที่อยู่อาศัยหรือสินค้าที่เกี่ยวกับการซ่อมแซมที่อยู่อาศัย"

นอกจากนี้ ยังได้เยี่ยมชมโรงงานผู้ผลิตเหล็กแผ่นชุบหรือเคลือบด้วยดีบุก โครเมี่ยม ณ บจก.แผ่นเหล็กวิลาสไทย ถนนปู่เจ้าสมิงพราย อําเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ ซึ่งเป็นโรงงานนำเข้าเหล็กม้วนมาชุบโครเมียมและชุบดีบุกมาตัดให้เป็นแผ่นในการทำกระป๋องสำหรับการใส่อาหารทะเล ผลไม้อาหารกระป๋อง เพื่อการส่งออก  

เนื่องจากขณะนี้มีเหล็กจากต่างประเทศเข้ามาตีตลาดในไทย ซึ่งมีราคาถูกกว่าเหล็กที่ผลิตในประเทศประมาณ 13% เนื่องจากเมื่อนำไปบรรจุเป็นอาหารทะเลกระป๋อง จะมีต้นทุนกระป๋อง 12.5% ผลไม้กระป๋องต้นทุนเฉพาะกระป๋อง 50% ดังนั้นกระป๋องจึงมีส่วนสำคัญเป็นต้นทุนของผู้ผลิตอาหารทะเลและผลไม้หรืออาหารชนิดอื่นที่บรรจุกระป๋องเพื่อการส่งออก ถ้าสามารถลดต้นทุนตรงนี้ได้การแข่งขันอาหารกระป๋องของประเทศไทยในตลาดโลกก็สามารถแข่งขันได้ดีขึ้น

“กระทรวงพาณิชย์ต้องหาจุดสมดุลระหว่างโรงงานผลิตแผ่นเหล็กที่ทำกระป๋องก็จะต้องอยู่ได้ ซึ่งปัจจุบันมีอยู่ 2 โรงงานใหญ่ ซึ่งทำอย่างไรให้อาหารกระป๋องของไทยลดต้นทุนกระป๋องลงไปได้ด้วย เป็นโจทย์ที่จะต้องไปหาความสมดุลต่อไป เพื่อช่วยให้อุตสาหกรรมผลิตเหล็กแผ่นชุบโครเมียมกับชุบดีบุกสามารถอยู่ได้และผู้ผลิตส่งออกอาหารกระป๋องของไทยก็สามารถอยู่ได้ แข่งขันในตลาดโลกได้ด้วย ซึ่งหลังจากนี้จะมีการนัดประชุมคณะกรรมการทุ่มตลาดเพื่อหาทางออกโดยมีเป้าหมายใหญ่ คือ ช่วยทั้งโรงงานผลิตแผ่นเหล็กชุบดีบุกและชุบโครเมียมที่จะไปทำกระป๋องและช่วยผู้ประกอบการอาหารกระป๋องที่จะส่งออกต่อไปทั้ง 2 ส่วนให้สมดุลกัน  

สำหรับเหล็กแผ่นม้วนที่ผลิตในประเทศราคาประมาณ 37,000 บาทต่อตัน ถ้านำเข้าในจะเหลือ 33,000 บาทต่อตัน ซึ่งหากปล่อยให้เหล็กจากนอกมาตีตลาดในไทยโรงงานในไทยก็จะอยู่ไม่ได้ แต่ถ้าซื้อแต่เฉพาะเหล็กในประเทศต้นทุนกระป๋องของผู้ประกอบการธุรกิจอาหารกระป๋องส่งออกก็จะแพง ดังนั้นจึงต้องหาความสมดุล เพื่อจะได้ช่วยให้ทั้ง 2 อุตสาหกรรม ซึ่งเป็นการบ้านที่จะไปคุยในคณะกรรมการทุ่มตลาด”