"SONIC" เปิดพื้นที่ฝากตู้คอนเทนเนอร์เพิ่ม 33 ไร่รับอีอีซี-แหลมฉบังเฟส 3

25 ส.ค. 2564 | 14:34 น.
อัปเดตล่าสุด :25 ส.ค. 2564 | 21:34 น.
798

"SONIC" เปิดพื้นที่ฝากตู้คอนเทนเนอร์เพิ่ม 33 ไร่รับอีอีซี โครงการแหลมฉบังเฟส 3 คาดก่อสร้างแล้วเสร็จกลางปีหน้า

นายสันติสุข โฆษิอาภานันท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทโซนิค อินเตอร์เฟรท จำกัด (มหาชน) หรือ SONIC ผู้ให้บริการการจัดการระบบโลจิสติกส์แบบครบวงจร เปิดเผยว่า บริษัทเตรียมที่จะขยายพื้นที่ให้บริการรับฝากตู้คอนเทนเนอร์เพิ่มขึ้นอีก 33 ไร่ เพื่อรองรับการขยายตัวของลูกค้าในพื้นที่โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกหรืออีอีซี (EEC) และโครงการแหลมฉบังเฟส 3 โดยคาดว่าการก่อสร้างจะแล้วเสร็จประมาณกลางปี 2565 ซึ่งหลังเปิดให้บริการบริษัทจะทยอยรับรู้รายได้ทันที และประมาณการว่าจะสามารถคืนทุนได้ภายใน 5- 6 ปี
ทั้งนี้ คณะกรรมการบริษัท ได้มีมติอนุมัติให้บริษัทขยายพื้นที่การให้บริการโลจิสติกส์ โดยการลงทุนซื้อที่ดินขนาด 33 ไร่ ในเขตอำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรีมูลค่ารวมไม่เกิน 117 ล้านบาท ค่าพัฒนาที่ดิน 77.4 ล้านบาท รวมงบประมาณทั้งสิ้น 194.4 ล้านบาท
ปัจจุบันบริษัทมีพื้นที่ให้บริการรับฝากตู้คอนเทนเนอร์ จำนวน 12 ไร่ คาดว่าภายในสิ้นปีนี้จะมีลูกค้ามาใช้บริการเต็มพื้นที่ เนื่องจากแนวโน้มธุรกิจโลจิสติกส์มีการอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในเขตพื้นที่อีอีซี นอกจากนี้บริษัทอยู่ระหว่างเตรียมที่จะประมูลงานกับสายการเดินเรือยักษ์ใหญ่ 2-3 ราย เพื่อให้มาใช้บริการเช่าพื้นที่ฝากวางตู้คอนเทนเนอร์

“จุดแข็งของการให้บริการเช่าพื้นที่วางตู้คอนเทนเนอร์ของ SONIC คืออยู่ในพื้นที่เขตอีอีซี แหลมฉบัง ซึ่งธุรกิจโลจิสติกส์ในพื้นที่ดังกล่าวจะมีการขยายตัวเติบโตสูง และยังเป็นการต่อยอดให้กับธุรกิจโลจิสติกส์ซึ่งเป็นธุรกิจหลักของบริษัทให้สามารถบริการลูกค้าได้ครบวงจรมากขึ้น ”
สำหรับภาพรวมการดำเนินธุรกิจของ SONIC ในช่วงครึ่งปีหลังยังเติบโตต่อเนื่องแม้จะมีสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 (Covid-19) ที่รุนแรงขึ้น แต่การให้บริการด้านขนส่งของบริษัทไม่ได้มีปัญหา เนื่องจากบริษัทได้เตรียมความพร้อมเพื่อรองรับการให้บริการขนส่งสินค้าของลูกค้า ตั้งแต่ช่วงสถานการณ์โควิด-19 ในระลอกแรก จนถึงปัจจุบัน เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อการขนส่งสินค้าของลูกค้า จึงทำให้บริษัทสามารถรักษากลุ่มลูกค้าเดิมและมีกลุ่มลูกค้ารายใหม่ที่มีเพิ่มมากขึ้น โดยกลุ่มลูกค้าหลัก ยังมาจากการให้บริการขนส่งทางทะเล ที่มีสัดส่วนรายได้ถึง 78 % การบริการขนส่งทางบก 17 % การบริการทางอากาศ 4.5 % และสัดส่วนรายได้อื่น ๆ อีก 0.5%