เร่งฟื้นภาคการท่องเที่ยวด้วยการผ่อนปรนประเภทของวีซ่า

28 ส.ค. 2566 | 05:55 น.

โจทย์สำคัญของรัฐบาลใหม่ คือ การเร่งฟื้นภาคการท่องเที่ยวให้กลับฟื้นคืนโดยเร็วที่สุดด้วยการ "ผ่อนปรนประเภทของวีซ่า"

ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่เป็นจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวที่อยากเข้ามาสัมผัสวัฒนธรรม ประเพณี เข้ามาทานอาหารไทย 4 ภาคที่ติดอันดับโลก ตลอดจนการพักผ่อนหย่อนใจทั้งภูเขา น้ำตก ทะเล เรียกได้ว่ามีความหลากหลายจนสามารถดึงดูดให้นักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาเที่ยวในไทยเกือบ 40 ล้านคนในช่วงก่อนโควิด-19

ในปัจจุบัน หลังจากโควิด-19 ได้ผ่านพ้นไปแล้ว กลับพบว่าจำนวนนักท่องเที่ยวยังกลับมาได้เพียงร้อยละ 70 จึงเป็นโจทย์สำคัญของรัฐบาลใหม่ที่จะต้องหาทางที่จะเร่งฟื้นฟูภาคท่องเที่ยวให้กลับฟื้นคืนโดยเร็วที่สุด

หากท่านผู้อ่านมีประสบการณ์ในการเดินทางไปต่างประเทศที่ต้องขอวีซ่าเพื่อเข้าประเทศ คงจะจำความลำบาก ยุ่งยากในการจัดเตรียมเอกสารที่ต้องมีเอกสารอย่างครบถ้วน ถูกต้อง ต้องเสียเวลาลางานเดินทางไปยังสถานฑูตเพื่อยื่นเอกสารเอง แถมยังต้องมานั่งลุ้นอีกว่าจะได้รับการอนุมัติให้เดินทางเข้าไปในประเทศหรือไม่

เช่นเดียวกัน ในปัจจุบัน นักท่องเที่ยวต่างประเทศบางส่วนก็ยังคงต้องมีภาระในการยื่นวีซ่าขอเข้าประเทศ บ้างก็ต้องยื่นตั้งแต่ก่อนเดินทางและต้องได้รับการอนุมัติก่อนเดินทาง บ้างก็ต้องมายื่นหลังจากเดินทางถึงประเทศไทยแล้ว หรือบางส่วนแม้ว่าจะสามารถเข้ามาในประเทศไทยได้ แต่ก็มีข้อจำกัดระยะเวลาในการพำนักในไทย

ในแง่นี้ หากจำแนกสัดส่วนนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาตามประเภทของวีซ่าออกตามความยากง่ายในการเดินทางเข้าประเทศ และระยะเวลาที่ได้รับอนุญาตให้พำนักอยู่ในประเทศ จะสามารถแบ่งนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาในไทย ออกได้เป็น 5 กลุ่ม (ไม่นับคนไทยที่เดินทางกลับเข้ามาในประเทศ) ได้แก่

1. กลุ่มที่สามารถเดินทางเข้ามาได้อย่างเสรีโดยไม่ต้องขอวีซ่า และสามารถพำนักได้ 90 วัน เป็นกลุ่มที่ถือได้ว่าได้รับความสะดวกสบายมากที่สุด แต่โดยสถิติพบว่ามีเพียงร้อยละ 0.4 ของนักท่องเที่ยวเท่านั้นที่อยู่ในกลุ่มนี้

2. กลุ่มที่สามารถเดินทางเข้ามาได้อย่างเสรีโดยไม่ต้องขอวีซ่า และสามารถพำนักได้ 30 วัน เป็นกลุ่มที่ถือได้ว่าได้รับความสะดวกสบายเป็นอันดับที่ 2 พบว่ามีสัดส่วนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่อยู่ในกลุ่มนี้ประมาณร้อยละ 75.2

3. กลุ่มที่สามารถเดินทางเข้ามาได้อย่างเสรีโดยไม่ต้องขอวีซ่า และสามารถพำนักได้ 14 วัน เป็นกลุ่มที่ถือได้ว่าได้รับความสะดวกสบายเป็นอันดับที่ 3 พบว่ามีสัดส่วนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่อยู่ในกลุ่มนี้ประมาณร้อยละ 3.4

4. กลุ่มที่สามารถเดินทางเข้ามาขอวีซ่า ณ สนามบินปลายทางที่ไทยได้ หรือ กลุ่มที่ต้องขอ Visa on Arrival มีประมาณร้อยละ 19.2 เป็นกลุ่มที่มีความยากลำบากมากขึ้นกว่า 3 กลุ่มแรก แต่ถือว่าไม่ลำบากมากนัก เพราะต้องเสียเวลาอย่างมาก 15-30 นาทีในการยื่นขอวีซ่าก่อนเข้าประเทศ

5. กลุ่มสุดท้ายจะมีความยากลำบากมากที่สุด คือ กลุ่มที่ต้องยื่นขอวีซ่าและต้องได้รับอนุมัติก่อนที่จะเดินทางเข้าประเทศ ซึ่งมีสัดส่วนเพียงร้อยละ 1.6 ของนักท่องเที่ยวต่างประเทศที่เข้ามาในปีล่าสุดเท่านั้น

จากข้อมูลข้างต้น จะพบว่า แนวทางหนึ่งในการสนับสนุนให้นักท่องเที่ยวเลือกที่จะเดินทางเข้ามาในประเทศไทยมากขึ้น คือ การอำนวยความสะดวกในเรื่องของการยื่นขอ VISA และ/หรือ การให้ระยะเวลาในการพำนักในประเทศให้ยาวนานมากกว่าเดิม

ผู้เขียนเห็นว่ากลุ่มเป้าหมายที่น่าสนใจ ประกอบไปด้วย

1. กลุ่มประเทศที่มีศักยภาพในแง่ของจำนวนนักท่องเที่ยวที่มาก ได้แก่ ปากีสถาน บังกลาเทศ เนปาล ศรีลังกา จีน อินเดีย ไต้หวัน และคาซัคสถาน

2. กลุ่มประเทศที่มีจำนวนนักท่องเที่ยวไม่มากนักแต่เป็นนักท่องเที่ยวกระเป๋าหนัก เช่น ลิกเตนสไตน์ โมนาโก ซานมารีโน ฮังการี ไต้หวัน ซาอุดิอาระเบีย และโรมาเนีย

ทั้งนี้ การพิจารณาผ่อนปรนเงื่อนไขในการยื่นขอวีซ่าจะคาบเกี่ยวกับมิติอื่นๆ นอกเหนือจากมิติทางด้านเศรษฐศาสตร์ เช่น มิติทางด้านความมั่นคง ข้อเสนอนี้จึงเป็นข้อมูลประกอบจากหมวกของนักเศรษฐศาสตร์ที่เล็งเห็นถึงประโยชน์ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในมุมมองทางด้านเศรษฐกิจ จึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่ารัฐบาลใหม่จะนำไปใช้เป็นข้อมูลในการพิจารณาผลักดันนโยบายที่จะสนับสนุนภาคท่องเที่ยวให้สามารถสร้างรายได้กว่า 3 ล้านล้านบาทดังที่กำหนดไว้เป็นหนึ่งในเป้าหมายเชิงนโยบายของพรรค