environment

แนวปะการัง "เกรตแบร์ริเออร์รีฟ" เผชิญวิกฤตรุนแรงที่สุดในรอบ 4 ศตวรรษ

    แนวปะการัง "เกรตแบร์ริเออร์รีฟ" เผชิญวิกฤตความร้อนรุนแรงที่สุดในรอบ 407 ปี อุณหภูมิน้ำทะเลในปี 2024 สูงกว่าค่าเฉลี่ยถึง 1.73 องศาฯ เกิดปะการังฟอกขาวครั้งใหญ่เป็นครั้งที่ 5 ในรอบ 8 ปี

ผลการวิจัยล่าสุดที่ตีพิมพ์ในวารสาร Nature เผย "แนวปะการังเกรตแบร์ริเออร์รีฟ" (Great Barrier Reef) มรดกโลกทางธรรมชาติอันล้ำค่าของออสเตรเลีย กำลังเผชิญกับอุณหภูมิน้ำทะเลที่พุ่งสูงที่สุดในรอบ 407 ปี

 

ทีมนักวิจัยนำโดย ดร.เบนจามิน เฮนลีย์ จากมหาวิทยาลัยเมลเบิร์น ได้ศึกษาโครงสร้างของปะการังโบราณ 22 ชนิด ส่วนใหญ่จากสกุล Porites ซึ่งมีอายุยืนยาวและสามารถบันทึกข้อมูลอุณหภูมิน้ำทะเลไว้ในโครงกระดูกปะการัง การวิเคราะห์นี้ทำให้นักวิจัยสามารถย้อนไปดูข้อมูลอุณหภูมิได้ถึงปี 1618 ผลการศึกษาพบว่าในปี 2024 อุณหภูมิเฉลี่ยในช่วง 3 เดือนแรกของปี (มกราคมถึงมีนาคม) สูงกว่าค่าเฉลี่ยก่อนปี 1900 ถึง 1.73 องศาเซลเซียส

ปรากฏการณ์ฟอกขาวครั้งใหญ่

ข้อมูลจากการวิจัยยังชี้ให้เห็นว่า 6 ปีที่ร้อนที่สุดในประวัติศาสตร์ของแนวปะการังเกรตแบร์ริเออร์รีฟ ล้วนเกิดขึ้นในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา โดยเรียงลำดับจากร้อนที่สุดไปหาน้อยที่สุดคือ ปี 2024, 2004, 2016, 2017, 2020 และ 2022 ที่น่าสนใจคือใน 5 จาก 6 ปีดังกล่าว (ยกเว้นปี 2004) เกิด "ปรากฏการณ์ปะการังฟอกขาวครั้งใหญ่" ซึ่งเป็นภัยคุกคามร้ายแรงต่อการอยู่รอดของปะการัง

ภาพจาก Reuters

การฟอกขาวเป็นปฏิกิริยาความเครียดของปะการังต่อสภาวะแวดล้อมที่ไม่เหมาะสม โดยเฉพาะอย่างยิ่งอุณหภูมิน้ำที่สูงเกินไป ส่งผลให้ปะการังขับสาหร่ายเซลล์เดียวที่อาศัยอยู่ในเนื้อเยื่อออกไป ทำให้สูญเสียสีสันและแหล่งอาหารสำคัญ แม้ว่าปะการังสามารถฟื้นตัวได้หากสภาวะแวดล้อมกลับมาเหมาะสม แต่ในระหว่างนั้นเหล่าปะการังจะเสี่ยงต่อโรคมากขึ้นและมีปัญหาในการสืบพันธุ์ หากอุณหภูมิสูงเป็นเวลานานเกินไป อาจฝ่อตายได้ในที่สุด

ทีมวิจัยได้ใช้แบบจำลองสภาพภูมิอากาศวิเคราะห์ข้อมูลเพิ่มเติม ผลการวิเคราะห์ชี้ชัดว่าอุณหภูมิสุดขั้วเช่นนี้จะไม่เกิดขึ้นหากปราศจากการเพิ่มขึ้นของก๊าซเรือนกระจกในชั้นบรรยากาศ ซึ่งส่วนใหญ่มาจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิลที่มนุษย์เป็นผู้ก่อ

 

ศาสตราจารย์เฮเลน แมคเกรเกอร์ จากมหาวิทยาลัยวูลลองกอง ผู้ร่วมวิจัยในโครงการนี้ แสดงความกังวลอย่างหนัก โดยกล่าวว่า "แนวปะการังกำลังเผชิญหายนะ หากเราไม่จัดการกับปัญหาโลกร้อนอย่างเร่งด่วน ปะการังอายุหลายร้อยปีที่ให้ข้อมูลสำคัญแก่เราในการศึกษาครั้งนี้กำลังตกอยู่ในอันตรายร้ายแรง เราไม่สามารถปล่อยให้สมบัติทางธรรมชาติเหล่านี้สูญหายไปได้"

 

ผลการวิจัยนี้สอดคล้องกับรายงานล่าสุดของสถาบันวิทยาศาสตร์ทางทะเลแห่งออสเตรเลีย ที่ระบุว่าการฟอกขาวของปะการังในฤดูร้อนปี 2024 นี้เป็นเหตุการณ์ที่รุนแรงและแผ่ขยายวงกว้างที่สุดเท่าที่เคยมีการบันทึกมา นับเป็นครั้งที่ 5 ในรอบเพียง 8 ปี แสดงให้เห็นถึงความถี่ที่เพิ่มขึ้นของปรากฏการณ์นี้ ซึ่งเป็นผลโดยตรงจากภาวะโลกร้อน

 

อย่างไรก็ตาม มีข้อมูลชี้ว่าก่อนหน้าการฟอกขาวครั้งนี้ ปะการังในเขตเหนือและกลางของแนวปะการังมีการฟื้นตัวดี โดยมีพื้นที่ปกคลุมมากที่สุดนับตั้งแต่เริ่มมีการเฝ้าระวังในต้นทศวรรษ 1980 แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการฟื้นตัวของระบบนิเวศของแนวปะการังหากได้รับการปกป้องและดูแลอย่างเหมาะสม

 

ศาสตราจารย์เทอร์รี ฮิวจ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการฟอกขาวของปะการังจากมหาวิทยาลัยเจมส์คุกซึ่งไม่ได้มีส่วนร่วมในการวิจัยครั้งนี้ ให้ความเห็นว่า "งานวิจัยนี้ยืนยันอย่างชัดเจนว่าการฟอกขาวและการตายของปะการังในบริเวณเกรตแบร์ริเออร์รีฟเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดจากการกระทำของมนุษย์ในยุคสมัยใหม่ ไม่ใช่วัฏจักรธรรมชาติอย่างที่บางคนกล่าวอ้าง ข้อมูลนี้ล้างความเชื่อผิดๆ ที่ว่าการฟอกขาวของปะการังเป็นเรื่องปกติหรือเป็นวัฏจักร"

 

แม้ภาพรวมจะน่าวิตก แต่ด้านศาสตราจารย์ปีเตอร์ มัมบี นักวิทยาศาสตร์ด้านแนวปะการังจากมหาวิทยาลัยควีนส์แลนด์ มองว่าผู้วิจัยอาจมองโลกในแง่ร้ายเกินไป เขาให้ความเห็นว่า "แม้รูปแบบของความร้อนในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาจะเป็นที่ยอมรับแล้วว่าเป็นภัยคุกคามจริง แต่เราต้องตระหนักด้วยว่าปะการังแต่ละชนิดและแต่ละพื้นที่มีความทนทานต่อความร้อนไม่เท่ากัน บางส่วนของแนวปะการังอาจมีความสามารถในการปรับตัวที่ดีกว่าส่วนอื่นๆ" ความเห็นนี้ชี้ให้เห็นว่ายังมีความหวังสำหรับการฟื้นฟูและการอนุรักษ์แนวปะการังในอนาคต หากมีการดำเนินการที่เหมาะสมและทันท่วงที

 

อ้างอิง:

เครดิตภาพ : Reuters