ดร.ประเสริฐ สินสุขประเสริฐ ปลัดกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า ในการขับเคลื่อนหรือนโยบายพลังงานของประเทศในปี 2568 กระทรวงพลังงาน จะยึดหลักสำคัญ 3 ด้านที่ต้องคำนึงควบคู่กันเพื่อเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชนและประเทศ ได้แก่ ความมั่นคงทางพลังงาน ราคาเป็นธรรมแข่งขันได้ และพลังงานคาร์บอนตํ่าที่จะมาพลิกโฉมพลังงานไทย
อย่างไรก็ตาม ในช่วงของการเปลี่ยนผ่านพลังงาน ประเทศยังมีความจำเป็นที่จะต้องพึ่งพาเชื้อเพลิงจากฟอสซิลอยู่ไม่ว่าจะเป็นก๊าซธรรมชาติและนํ้ามัน ทำให้ต้องเร่งจัดหาแหล่งพลังงานใหม่ในประเทศ โดยในปี 2568 จะเปิดให้มีการให้สิทธิสำรวจและผลิตปิโตรเลียมบนบกรอบ 25 ในพื้นที่ภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
คาดว่าจะมีปริมาณทรัพยากรนํ้ามันดิบประมาณ 5.76 ล้านบาร์เรล และก๊าซธรรมชาติประมาณ 20.7 ล้านล้านลูกบาศก์ฟุต และคาดว่าจะมีเงินลงทุนในการสำรวจและพัฒนาปิโตรเลียมในประเทศไม่น้อยกว่า 73.75 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
รวมถึงการเปิดให้สิทธิสำรวจและผลิตปิโตรเลียมในทะเลรอบ 26 บริเวณพื้นที่ฝั่งอันดามัน จากที่ผ่านมาเคยเปิดให้ยื่นสิทธิสำรวจมาแล้วครึ้งหนึ่ง แต่ไม่มีผู้ประกอบการรายใดสนใจ เนื่องจากเป็นแหล่งนํ้าลึกยากต่อการสำรวจ แต่ปัจจุบันเนื่องจากมีการพัฒนาเทคโนโลยีสำรวจปิโตรเลียมในนํ้าลึกได้ ประกอบกับมีผู้สนใจหลายรายได้เข้ามาหารือกับกระทรวงพลังงานแล้ว จึงคาดว่าจะมีโอกาสพบเจอปิโตรเลียม
“จากการสำรวจพบปิโตรเลียมในบริเวณข้างเคียงทะเลอันดามัน ที่มีการพบปริมาณทรัพยากร ซึ่งทำให้อาจค้นพบปริมาณทรัพยากรปิโตรเลียมในพื้นที่ขอสิทธิสำรวจ”
นอกจากนี้ เขตพื้นที่ไหล่ทวีปคาบเกี่ยวไทยกับกัมพูชา หรือ OCA ถือเป็นพื้นที่ที่มีศักยภาพของทรัพยากรปิโตรเลียมอยู่มาก และเป็นความหวังที่กระทรวงพลังงานอยากจะให้มีการพัฒนาขึ้นมา เพราะจะช่วยให้ประเทศมีความมั่นคงพลังงานทั้งก๊าซธรรมชาติและนํ้ามันดิบเพิ่มมากขึ้น ช่วยลดการนำเข้าพลังงาน จากปัจจุบันไทยต้องพึ่งพาพลังงานนำเข้ากว่า 75% เนื่องจากเป็นแหล่งที่อยู่ใกล้กับแหล่งเอราวัณ ในอ่าวไทย ที่ไทยพัฒนาอยู่แล้ว ซึ่งจะช่วยให้ต้นทุนเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าของประเทศถูกลงและลดการพึ่งพาการนำเข้าก๊าซแอลเอ็นจีจากประเทศได้
ส่วนจะพัฒนาแหล่งปิโตรเลียมขึ้นมาได้เมื่อใดนั้น คงขึ้นอยู่กับการเจรจาของรัฐบาล ว่าจะเดินหน้าไปได้มากน้อยแค่ไหน บนพื้นฐานเกิดประโยชน์ให้กับประเทศไทยมากที่สุดและไม่เสียดินแดน
ดร.ประเสริฐ กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ จะเร่งส่งเสริมการเพิ่มสัดส่วนของพลังงานสะอาดให้มากขึ้น จากปัจจุบันการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดมีสัดส่วนราว 26% จากก๊าซธรรมชาติ 59.9% ถ่านหินลิกไนต์ 14.4% ซึ่งในปี 2568 การจัดทำร่างแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าฉบับใหม่ หรือ PDP 2024 คาดว่าจะประกาศมาใช้ได้ โดยมีเป้าหมายที่จะเพิ่มสัดส่วนพลังงานสะอาดจะเพิ่มเป็น 51% และสัดส่วนก๊าซธรรมชาติจะลดลงเหลือ 41% ถ่านหินถ่านหินและลิกไนต์ ลดลงเหลือ 7% ภายในปี 2580
ทั้งนี้เป็นทิศทางที่สอดคล้องกับเทรนด์โลกที่ให้ความสำคัญกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศหรือ Climate Change ที่แต่ละประเทศมีเป้าหมายชัดเจนในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และเรื่องดังกล่าวจะกลายเป็นเงื่อนไขด้านการค้า การลงทุนในอนาคต
อีกทั้ง เร่งส่งเสริมการลงทุนด้านพลังงานเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ และดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ เพื่อรองรับไทยเตรียมเป็น Digital Hub ของอาเซียน โดยพบว่ามีโครงการ Data Center และ Cloud Service ขอรับการส่งเสริมการลงทุนจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือบีโอไอ รวม 46 โครงการ มูลค่าเงินลงทุน 167,989 ล้านบาท โดยสิ่งหลักที่โครงการดังกล่าวต้องการคือไฟฟ้าสะอาด
ดังนั้น จำเป็นต้องเตรียมความพร้อมเรื่อง Direct PPA ราว 2,000 เมกะวัตต์ ตามร่างแผนพีดีพีฉบับใหม่ ที่จะประกาศออกมา รวมถึงนโยบายไฟฟ้าสีเขียว Utility Green Tariff ที่จะต้องกำหนดออกมารองรับเอาไว้
ดร.ประเสริฐ กล่าวเสริมว่า นอกจากนี้ ยังต้องเร่งดำเนินนโยบายส่งเสริมเทคโนโลยีพลังงานรูปแบบใหม่ให้เกิดความคืบหน้าอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อรองรับช่วงเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานหรือ Energy Transition และสนับสนุนการบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนของประเทศไทยในปี ค.ศ.2050 และบรรลุการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ หรือ Net Zero ภายในปี 2065
ด้วยการเตรียมพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐานและกฎระเบียบ เพื่อรองรับการใช้งานพลังงานไฮโดรเจน ซึ่งในร่างแผนพีดีพีฉบับใหม่ มีการกำหนดที่จะให้นำไฮโดรเจนผสมกับก๊าซธรรมชาติในท่อก๊าซธรรมชาติต้นทางฝั่งตะวันออกสัดส่วน 5% ของปริมาณก๊าซธรรมชาติที่ใช้ในภาคการผลิตไฟฟ้าในระบบ 3 การไฟฟ้า (On-grid) ตั้งแต่ปี 2573 เป็นต้นไป
รวมถึงการนำไฮโดรเจน มาใช้เป็นเชื้อเพลิงในภาคขนส่ง กับรถบรรทุกขนาดใหญ่ ซึ่งปัจจุบันมีการจัดตั้ง Hydrogen Thailand Club ร่วมกับพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อเตรียมความพร้อมและผลักดันในเรื่องเทคโนโลยีไฮโดรเจนให้กับประเทศไทย ปัจจุบันได้เริ่มมีการนำร่องในพื้นเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรืออีอีซีแล้ว
อีกทั้ง การเพิ่มขีดความสามารถในการจัดหาวัตถุดิบ มาใช้ผลิตเชื้อเพลิงอากาศยานยั่งยืน (SAF) ให้เพียงพอต่อการเริ่มใช้งานในปี ค.ศ.2026 จากปัจจุบันมีบริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เป็นรายแรกที่ใช้นํ้ามันปรุงอาหารใช้แล้วเป็นวัตถุดิบซึ่งไม่เพียงพอ โดยจะส่งเสริมให้มีการนำนํ้ามันปาล์มดิบหรือ CPO มาใช้ผลิตเป็น SAF ต่อไป
รวมถึงการเร่งรัดการลงทุนการใช้ประโยชน์แหล่งปิโตรเลียม ให้เป็นแหล่งกักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์ (CCS) ผ่านโครงการนำร่องที่แหล่งอาทิตย์ ของบริษัท สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือปตท.สผ.ให้เป็นรูปธรรม คาดว่าจะเริ่มใช้ได้จริงในปี ค.ศ.2028 และการศึกษาพื้นที่อื่น ๆ เพิ่มเติม ในพื้นที่อ่าวไทยตอนบน แหล่งบนบกอย่างแอ่งแม่เมาะ จ.ลำปาง และแอ่งนํ้าพอง จ.ขอนแก่น เป็นต้น โดยได้รับความช่วยเหลือจากทางญี่ปุ่นร่วมศึกษาศักยภาพการกักเก็บในแต่ละพื้นที่
หน้า 7 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 44 ฉบับที่ 4,052 วันที่ 12 - 14 ธันวาคม พ.ศ. 2567
ข่าวที่เกี่ยวข้อง