sustainability
677

"ฟู้ดเดลิเวอรี่" ความสะดวกสบายมาพร้อมภาระ "ขยะ" กับทางออกสู่ความยั่งยืน

    จากความสะดวกสู่วิกฤตสิ่งแวดล้อม เจาะลึกภาระปัญหา "ขยะ" จากธุรกิจ "ฟู้ดเดลิเวอรี่" และแนวทางสู่ความยั่งยืน

ในยุคดิจิทัลที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทสำคัญในชีวิตประจำวัน "ธุรกิจฟู้ดเดลิเวอรี่" (Food Delivery) ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตคนเมืองอย่างปฏิเสธไม่ได้ ความสะดวกสบายในการสั่งอาหารผ่านแอปพลิเคชันบนสมาร์ทโฟนและได้รับอาหารถึงบ้านในเวลาอันรวดเร็ว กลายเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ธุรกิจนี้เติบโตอย่างก้าวกระโดด แต่ความสะดวกสบายนี้กลับมาพร้อมกับปัญหาสิ่งแวดล้อมที่น่าวิตก โดยเฉพาะปัญหาขยะจากบรรจุภัณฑ์อาหารที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง

 

ฟู้ดเดลิเวอรี่ในประเทศไทยเติบโตก้าวกระโดดอย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่การแพร่ระบาดโควิด-19 แต่ปัจจุบันมีการคาดการณ์จากศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า มูลค่าตลาดฟู้ดเดลิเวอรี่ในปี 2567 ซบเซาลง ประเมินว่ามูลค่าตลาดจะอยู่ที่ราว 8.6 หมื่นล้านบาท ลดลง 1.0% จากปี 2566 แม้ว่าราคาเฉลี่ยต่อครั้งจะเพิ่มขึ้น 2.8% เป็น 185 บาท แต่จำนวนครั้งและปริมาณการสั่งอาหารกลับลดลง สวนทางกับราคาที่สูงขึ้น

 

แม้เผชิญกับการชะลอตัวลง แต่ "ธุรกิจฟู้ดเดลิเวอรี่" ก็ยังคงมีศักยภาพในการเติบโต โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มผู้บริโภคที่ให้ความสำคัญกับความสะดวกสบายและมีกำลังซื้อสูง ทำให้ยังคงเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้ปริมาณขยะจากบรรจุภัณฑ์อาหารเพิ่มขึ้น โดยเฉลี่ยการสั่งอาหารหนึ่งครั้งก่อให้เกิดขยะพลาสติกประมาณ 2-3 ชิ้น ซึ่งหากคำนวณจากจำนวนการสั่งอาหารทั้งหมด ขยะที่เกิดขึ้นนั้นมีปริมาณมหาศาล

 

\"ฟู้ดเดลิเวอรี่\" ความสะดวกสบายมาพร้อมภาระ \"ขยะ\" กับทางออกสู่ความยั่งยืน

 

ขยะพลาสติกและโฟมจากบรรจุภัณฑ์อาหารส่งผลกระทบร้ายแรงต่อสิ่งแวดล้อมในหลายมิติ พลาสติกใช้เวลาย่อยสลายนานถึง 450 ปี ในขณะที่โฟมไม่สามารถย่อยสลายได้ตามธรรมชาติ วงจรชีวิตของขยะเหล่านี้ส่วนใหญ่จะจบลงในหลุมฝังกลบหรือในทะเล ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศและสิ่งมีชีวิตในน้ำ

 

 

จากการรวบรวมสถิติพบว่า ทั่วโลกมีขยะพลาสติกจากบรรจุภัณฑ์อาหารมากถึง 141 ล้านตันต่อปี ประมาณหนึ่งในสามของบรรจุภัณฑ์พลาสติกทั้งหมดในตลาดโลกรั่วไหลจากระบบรวบรวมซึ่งก่อให้เกิดมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 300 ล้านตันภายในปี 2573 หากไม่มีการดำเนินการแก้ไขอย่างจริงจัง

 

นอกจากนี้ การผลิต การใช้ และการกำจัดพลาสติกยังมีส่วนทำให้เกิดการปล่อยก๊าซคาร์บอนประมาณ 1.8 พันล้านตันต่อปี ตามรายงานของ Royal Statistical Society แห่งสหราชอาณาจักร พบว่ามีเพียง 9% ของพลาสติกทั้งหมดที่เคยผลิตได้ถูกนำไปรีไซเคิลแล้ว

 

\"ฟู้ดเดลิเวอรี่\" ความสะดวกสบายมาพร้อมภาระ \"ขยะ\" กับทางออกสู่ความยั่งยืน

 

ด้านประเทศไทย กรมควบคุมมลพิษ รายงานว่า ปี 2565 ประเทศไทยมีขยะมูลฝอยเกิดขึ้นรวมกว่า 25 ล้านตัน หรือ 70,411 ตันต่อวัน กระจายตัวตามภูมิภาคต่างๆ ขยะมูลฝอยประเภท "บรรจุภัณฑ์พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง" (Single Use Plastic) ยังคงมีปริมาณสูง โดยส่วนหนึ่งมาจากธุรกิจฟู้ดเดลิเวอรี่ที่เติบโตอย่างรวดเร็วในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19

 

อย่างไรก็ตาม หลายบริษัทชั้นนำในวงการฟู้ดเดลิเวอรี่เริ่มตระหนักถึงปัญหาขยะเหล่านี้และหาทางแก้ไข ตัวอย่างเช่น Deliveroo ในสหราชอาณาจักรได้เปิดตัวโครงการ "Deliveroo Packaging Store" ที่จำหน่ายบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมให้กับร้านอาหารพาร์ทเนอร์ในราคาที่เข้าถึงได้ ขณะที่ Grab ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้เปิดตัวแคมเปญรักษ์โลก ส่งเสริมการใช้บรรจุภัณฑ์ที่ย่อยสลายได้และลดการใช้พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง

 

 

 

อีกกรณีศึกษาที่น่าสนใจคือ Foodpanda ในสิงคโปร์ ที่ริเริ่มโครงการ "Eco-friendly Sundays" โดยให้ลูกค้าเลือกรับอาหารโดยไม่ใช้บรรจุภัณฑ์พลาสติกทุกวันอาทิตย์ ผลลัพธ์คือสามารถลดการใช้พลาสติกได้กว่า 30% นอกจากนี้ยังมี Uber Eats ในแคนาดาที่ร่วมมือกับ A&W ทดลองใช้ภาชนะที่นำกลับมาใช้ใหม่ได้ ซึ่งช่วยลดขยะได้ถึง 80% ในพื้นที่ทดลอง โครงการนี้ไม่เพียงแต่ลดปริมาณขยะ แต่ยังช่วยสร้างความตระหนักรู้ให้กับผู้บริโภคอีกด้วย

 

\"ฟู้ดเดลิเวอรี่\" ความสะดวกสบายมาพร้อมภาระ \"ขยะ\" กับทางออกสู่ความยั่งยืน

 

แม้ในประเทศไทยจะยังไม่มีนโยบายที่เฉพาะเจาะจงกับการจัดการขยะจากธุรกิจฟู้ดเดลิเวอรี่ แต่ก็มีความพยายามจากหลายภาคส่วน เช่น โครงการต่างๆ ของกรุงเทพมหานครที่รณรงค์ให้ผู้ประกอบการและผู้บริโภคร่วมกันลดการใช้บรรจุภัณฑ์พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวและการคัดแยกขยะอย่างถูกต้อง หรือโครงการ "ปทุมวัน Zero Waste" นำโดยจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเป็นแกนนำ พร้อมด้วยภาคีเครือข่ายทั้งภาครัฐและเอกชน 67 หน่วยงาน ร่วมกับสำนักงานเขตปทุมวัน ที่ร่วมลดและแยกขยะภายในเขต โดยในระยะเวลาการดำเนินงาน เฉพาะขยะเศษอาหารที่แยกออกมาได้มีจำนวนถึง 2,148 ตันและถูกจัดการอย่างเหมาะสม เป็นต้น

 

รวมถึงมติเห็นชอบโดยคณะรัฐมนตรีเมื่อปี 2564 ให้ยกเลิกการใช้พลาสติก 4 ประเภท ได้แก่ ถุงพลาสติกหูหิ้วแบบบาง, กล่องโฟมบรรจุอาหาร, แก้วพลาสติกแบบบาง, หลอดพลาสติก (ยกเว้นกรณีจำเป็น) มีผลบังคับใช้ 100% ภายในปี 2565 ที่ผ่านมา เพื่อแก้ไขปัญหาขยะพลาสติก เน้นใช้วัสดุเป็นมิตรทดแทน และนำพลาสติกหมุนเวียนกลับไปใช้ใหม่ ภายใต้แผนปฏิบัติงานปี พ.ศ. 2561-2573

 

\"ฟู้ดเดลิเวอรี่\" ความสะดวกสบายมาพร้อมภาระ \"ขยะ\" กับทางออกสู่ความยั่งยืน

 

ส่วนนวัตกรรมในการออกแบบบรรจุภัณฑ์เองก็มีบทบาทสำคัญในการแก้ไขปัญหานี้เช่นกัน อาทิ บริษัท Just Eat ในยุโรปที่ร่วมมือกับ Notpla พัฒนาบรรจุภัณฑ์จากสาหร่ายที่สามารถย่อยสลายได้ภายใน 6 สัปดาห์ ซึ่งนอกจากจะลดปัญหาขยะแล้ว ยังช่วยลดการปล่อยคาร์บอนในกระบวนการผลิตได้ถึง 50% เมื่อเทียบกับบรรจุภัณฑ์พลาสติกทั่วไป ในประเทศไทย บริษัท NatureWorks ได้พัฒนาพลาสติกชีวภาพจากพืช ที่สามารถย่อยสลายได้ในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม ซึ่งกำลังได้รับความสนใจจากผู้ประกอบการในวงการอาหารและเครื่องดื่ม

 

นอกจากนี้ยังมีเทคโนโลยีในการพัฒนาวัสดุใหม่ๆ ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมที่มีความก้าวหน้าอย่างต่อเนื่อง เช่น การพัฒนาบรรจุภัณฑ์จากเส้นใยพืช ที่นอกจากจะย่อยสลายได้ตามธรรมชาติแล้ว ยังสามารถรักษาคุณภาพของอาหารได้ดีเทียบเท่ากับบรรจุภัณฑ์พลาสติก หรือการใช้เทคโนโลยีนาโนในการเคลือบบรรจุภัณฑ์กระดาษเพื่อเพิ่มคุณสมบัติกันน้ำและรักษาความร้อน โดยไม่ส่งผลกระทบต่อการย่อยสลาย

 

\"ฟู้ดเดลิเวอรี่\" ความสะดวกสบายมาพร้อมภาระ \"ขยะ\" กับทางออกสู่ความยั่งยืน

 

แม้การดำเนินธุรกิจฟู้ดเดลิเวอรี่อย่างยั่งยืนไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่เป็นไปไม่ได้ การร่วมมือกันระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และผู้บริโภค ถือเป็นกุญแจสำคัญในการแก้ไขปัญหานี้ การสร้างความตระหนักรู้ผ่านการให้ข้อมูลและการศึกษา การพัฒนานวัตกรรมด้านบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และการออกนโยบายสนับสนุนและมาตรการจูงใจทางภาษี จะช่วยผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในวงกว้าง

 

ในท้ายที่สุด การแก้ไขปัญหาขยะจากธุรกิจฟู้ดเดลิเวอรี่ไม่ใช่เพียงแค่ความรับผิดชอบของภาคธุรกิจเท่านั้น แต่เป็นความรับผิดชอบร่วมกันของทุกภาคส่วนในสังคม การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภค การสนับสนุนนโยบายที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และการเลือกใช้บริการจากผู้ประกอบการที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม จะเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญที่จะทำให้ผู้บริโภคสามารถใช้บริการฟู้ดเดลิเวอรี่ไปพร้อมๆ กับการรักษาสิ่งแวดล้อมได้อย่างยั่งยืน เพื่อให้ความสะดวกสบายในวันนี้ไม่กลายเป็นภาระของโลกในวันข้างหน้า