ซิโก้ - เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง ผู้นำ ต้องเป็นต้นแบบของทีม

10 ม.ค. 2559 | 09:00 น.
อัปเดตล่าสุด :31 ม.ค. 2566 | 10:31 น.
2.0 k

ปีที่ผ่านมา ถ้าจะพูดถึงคนที่เป็นฮีโร่ในดวงใจของคนไทยทั้งประเทศ ต้องยกให้ "ซิโก้" หรือ "ร.ต.ท.เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง" โค้ชฟุตบอลทีมชาติไทย อดีตศูนย์หน้าทีมชาติไทย ที่มีลีลาการแสดงความดีใจเป็นที่จดจำ ด้วยท่าตีลังกากลับหัวที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว


"ซิโก้" ติดทีมชาติชุดเยาวชน ตั้งแต่ปี 2533 กับการแข่งขันที่ประเทศมาเลเซีย และที่ทำให้ชื่อ "ซิโก้" เป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้น ก็ตอนที่เขาได้รับคัดเลือก เข้ามาเป็นหนึ่งในทีมชาติชุดดรีมทีม 

 

นักฟุตบอลคนนี้มีประสบการณ์การเล่นที่โชกโชนทั้งในไทยและต่างประเทศ เคยไปร่วมเป็นตัวทีมชาติของเวียดนาม และสโมสรฟุตบอลในอังกฤษมาแล้ว และปัจจุบันเขาก็คือ โค้ชทีมชาติไทย ที่กลับมาปลุกให้กระแสฟุตบอลไทยคึกคักขึ้นอีกครั้ง



"ตอนที่เป็นผู้เล่น ผมเป็นคนครูพักลักจำ เราจะจำไอเดีย และเทคนิคต่างๆ ของโค้ชที่เราเจอทุกคน เอาจุดดีของแต่ละคนมาเก็บไว้ที่ตัวเรา โดยที่ตอนนั้นก็ไม่รู้ว่าจะได้มาเป็นโค้ช และมีโอกาสได้นำไอเดียและเทคนิคเหล่านั้นมาใช้ แต่เมื่อตอนที่อำลาทีมชาติ เราเดินทางมา 15 ปี พอกำลังจะเดินออกจากตรงนี้ไป มันใจหาย วันนั้นเราเลยคิดว่า อะไรที่จะทำให้เราอยู่กับฟุตบอลได้ ก็มีผู้จัดการทีม กับโค้ช แต่ผู้จัดการทีม บารมีเรายังไม่ถึง มันยังไม่ใช่ตอนนี้ เราเลยคิดว่า วันหนึ่งต้องกลับมาเป็นโค้ชทีมชาติให้ได้ และเอาตรงนั้นมาเป็นแรงกระตุ้น หากเราต้องการเป็นโค้ชทีมชาติ เราต้องเป็นโค้ชทีมสโมสรก่อน"
 

นั่นคือจุดเริ่มต้นของความคิด ที่ทำให้หนุ่มวัย 42 ปีคนนี้ เดินตามเส้นทางความฝัน ที่เป็นได้ทั้งอาชีพเลี้ยงตัวเองและครอบครัว และยังได้อยู่กับสิ่งที่ตัวเองรักคือ ฟุตบอลอีกด้วย "ซิโก้" เริ่มต้นการเป็นโค้ช ด้วยการไปเป็นเฮดโค้ช และผู้ช่วยโค้ชกับทีมฮอง อันห์ ยาลาย ของเวียดนาม และกลับมาเป็นโค้ชให้กับทีมจุฬาฯ ยูไนเต็ด อีก 2 ปี และมาเป็นโค้ชให้ทีมชลบุรี เอฟซี
 

การเป็นโค้ชทีมฟุตบอล ไม่ใช่สักแต่ว่าเป็น แล้วเดินไปตามเป้าหมายที่เจ้าของทีมกำหนดเท่านั้น โค้ชคนนี้มีเป้าหมายของตัวเองและมีแผนการบริหารทีมของตัวเองที่ชัดเจน เขาทำให้ทีมที่หนีตกชั้น หนีตกชั้นได้ และทำให้ทีมที่ไขว่คว้าต้องการเป็นแชมป์ ก้าวขึ้นมาเป็นแชมป์ได้สำเร็จ แต่หากเจ้าของทีมไม่พร้อมทำตามระบบการบริหารทีมของเขา เขาก็พร้อมจะเดินออก เช่นเดียวกับที่เดินออกจากจุฬาฯ ยูไนเต็ดมาแล้ว เมื่อทีมหนีตกชั้นได้ จุฬาฯ ยูไนเต็ด ไม่ได้สานต่อนโยบายที่เขาวางไว้ว่า ปีหน้าต้องเอานักเตะที่เป็นมืออาชีพ หรือต่างชาติเข้ามาเล่น เพราะจุฬาฯ ต้องการใช้นักเตะช้างเผือกในสถาบันมาเล่น ตรงนั้นจึงทำให้เขาต้องผันตัวมาทำทีมใหญ่อย่าง ชลบุรี เอฟซี ที่ต้องการเป็นแชมป์เท่านั้น

"เราก็มีเป้าหมายของตัวเองเหมือนกัน การที่เราทำงานทุกที่ เราต้องมีเป้าหมายที่สูงไว้ก่อน สูง กับปานกลาง และขั้นที่เลวร้ายที่สุด เราต้องประเมินตัวเองด้วย แต่ทุกครั้งที่ทำมา ก็ผ่านเป้าหมายของสโมสรในทุกๆ ครั้ง ที่พลาดมันก็มี ถ้าเป็นทีมชาติ เราก็พลาดเอเชี่ยนเกมส์ แต่ถามว่าเราได้อันดับ 4 ก็ยิ่งใหญ่แล้ว เพราะตอนแรกใครๆ ก็สบประมาท เขาคิดว่าตกรอบแน่นอน เพราะปีแรกที่ผมมาทำ ก็ได้แชมป์ซีเกมส์ปีแรกที่เนปิดอว์ เมียนมา ได้เหรียญแต่ไม่ได้ศรัทธา เพราะคนคิดว่าในเอเชี่ยนเนี่ยหมู ง่าย"



การสร้างทีมและบริหารทีมให้ได้แชมป์หรือหนีตกชั้นของโค้ชทีมชาติคนนี้ มีวิธีการที่ชัดเจนตั้งแต่การเลือกนักเตะเข้าทีม จากประสบการณ์ตอนเป็นผู้เล่นที่วิ่งสู้ฟัด เขาจึงชอบนักเตะที่วิ่งสู้ฟัด และการที่จะได้เด็กที่วิ่งสู้ฟัดอย่างที่ว่า จึงเลือกเด็กที่มีพลัง



"เด็กต้องมีพลัง ก็เลยต้องใช้เด็กวัยรุ่นที่มีความกระหาย และนโยบายของผมไม่มีเด็กเส้น ไม่มีเด็กฝาก ผมคิดว่าทุกคนอยากรับใช้ชาติ ใครเคยรับใช้ชาติมาแล้ว เขาจะคิดว่า ยังไงเขาก็ต้องติดทีมชาติ 100% ความกระหายเขาจะลดลง แต่ถามว่าเขารักชาติไหม เขารักชาติ แต่เราคิดว่าน่าจะสร้างน้ำใหม่ขึ้นมา เราอยากได้น้ำใหม่ขึ้นมาเป็นสตาร์ และให้เขารับใช้ชาติให้นานที่สุด เราเลยเอาเด็กอายุ 22-23 ปีขึ้นมา"
"ซิโก้" บอกว่า เขาเองก็ไม่รู้ว่าจะได้เป็นโค้ชทีมชาติไปนานแค่ไหน สิ่งที่ต้องการคือการสร้างบุคลากรขึ้นมารับใช้ชาติให้ได้ยาวนานที่สุด เพราะอายุของนักเตะ ส่วนมากก็อยู่ประมาณ 10 ปี แต่ถ้าเด็กมีพลังมีความแข็งแกร่ง ก็จะอยู่ได้ยาวนานยิ่งขึ้น...เราต้องเอาเด็กที่เราคิดว่าสอนเขาได้ พัฒนาเขาได้...คนเก่งแล้วเชื่อฟัง ก็ดีกว่าคนเก่งที่ไม่เชื่อฟัง หรือคนไม่เก่งแต่เชื่อฟัง มันก็สามารถพัฒนาตัวเองได้"



โค้ชทีมชาติคนนี้มีกฎเหล็ก 4 ข้อ คือ ห้ามดื่มเหล้า ห้ามสูบบุหรี่ ห้ามหนีเที่ยว และห้ามเล่นการพนัน หากใครทำไม่ได้ ก็อยู่ด้วยกันไม่ได้ และตัวของโค้ชซึ่งเป็นผู้นำ ก็ต้องทำตัวให้เป็นแบบอย่าง เหนื่อยก็เหนื่อยด้วยกันซ้อมก็ซ้อมด้วยกัน สิ่งที่ "ซิโก้" ให้ความสำคัญมากคือ การทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด และใฝ่หาความรู้อยู่เสมอ



แน่นอนว่าการเป็นโค้ชฟุตบอลทีมชาติ ย่อมมีความกดดัน แต่โค้ชคนนี้ก็บริหารความกดดันของตัวเองได้ดี ด้วยการเตรียมตัวให้พร้อม... เรารู้ว่าฟุตบอลมีหลากหลายอารมณ์ การเตรียมตัวด้วยการเอาหลักจิตวิทยามาใช้ เหตุต้องมาก่อนผล เหตุคือ ถ้าซ้อมดี ผลต้องดี ถ้าเตรียมทีมดี ผลก็ต้องดี ถ้าเตรียมทีมไม่ได้ แล้วผลจะดีได้อย่างไร แต่ถ้าเตรียมทีมดีแล้ว แต่สู้เขาไม่ได้ ต้องมาดูว่าสู้ไม่ได้เพราะเทคนิคเราไม่ดี สู้เขาไม่ได้ หรือเราเตรียมทีมไม่ดี แล้วเอาตรงนี้ไปจัดการ ถ้าเราทำทุกอย่างให้ดีที่สุดแล้วเราแพ้ เราต้องยอมรับให้ได้ เพราะกีฬาสอนให้เรา รู้จักการยอมรับ แพ้ ชนะ อภัย

 

ผู้บริหารทีมชาติคนนี้ บอกว่า ตอนแรกที่เข้ามาเป้าหมายของเขาคือ เป็นเบอร์ 1 ของเอเชี่ยน และแชมป์เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ ซึ่งตอนนี้ทำได้แล้วทั้ง 2 อย่าง และเป้าหมายต่อไปของเขาคือ การพาทีมชาติไทย ขึ้นมาอยู่อันดับ 12 ของเอเชีย เพื่อเดินไปสู่การแข่งขันในเอเชี่ยนคัพ


 

ในใจของ "ซิโก้" เขาอยากพาทีมไปเยาวชนโลกให้ได้ก่อน การที่จะไปบอลโลก บอลโลกมี 3 ชุด เยาวชน 17 ปี ชิงแชมป์โลก เยาวชน 20 ปีชิงแชมป์โลก แล้วถึงจะไปชุดใหญ่ ถ้า 17 ปีได้ไป เดี๋ยว 20 ปีก็ได้ เดี๋ยวชุดใหญ่ก็ได้ไป ตอนนี้สิ่งที่ต้องทำคือ การพัฒนาหลายๆ โครงสร้าง มีลีกเยาวชน มีลีกบอลชาติชาย บอลหญิง มีลีกฟุตซอล ทุกอย่างต้องเติบโตไปด้วยกัน ต้นไม้ยังต้องมีกิ่งก้านสาขา ฉะนั้นฟุตบอลก็ต้องมีกิ่งก้านสาขา ต้องพัฒนาทั้งระบบ พัฒนาทั้งนักเตะ พัฒนาทั้งโค้ช พัฒนาทั้งผู้ตัดสิน ผู้บริหารทีม และสมาคม



ตัวของ "ซิโก้ - เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง" ก็กำลังพัฒนา เขาเพิ่งจบเอ็มบีเอ เรื่องของการกีฬา หลังจากจบปริญญาตรี ด้านบริหารจัดการทั่วไป และกำลังมีโครงการต่อปริญญาเอกด้านบริหารจัดการอีกหนึ่งใบ เพื่อเสริมสร้างองค์ความรู้ด้านวิชาการของตัวเองให้แข็งแกร่งขึ้น เพราะนอกจากการเป็นโค้ชฟุตบอลทีมชาติแล้ว เขายังมีมูลนิธิซิโก้ ที่จะทำหน้าที่พัฒนาวงการฟุตบอลไปตลอดอยู่แล้ว รวมทั้งบริษัท ฮีโร่ สปอร์ตฯ ซึ่งทำอีเวนต์เกี่ยวกับฟุตบอล...เราต้องมีหลายๆ อย่างทั้งประสบการณ์ และงานวิชาการ การมีประสบการณ์อย่างเดียวไม่พอ
 

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 36 ฉบับที่ 3,120 วันที่ 7 - 9 มกราคม พ.ศ. 2559