บิ๊กธุรกิจโรงแรมไทย จี้รัฐคุมคอนโดศูนย์เหรียญ ไม่เป็นธรรมกับคนทำถูกกม.

09 มี.ค. 2568 | 10:30 น.
อัปเดตล่าสุด :09 มี.ค. 2568 | 10:31 น.

บิ๊กธุรกิจโรงแรมไทย จี้รัฐคุมคอนโดศูนย์เหรียญ คุมขายห้องพักรายวัน ผ่าน Airbnb สมาคมโรงแรมไทย ร้องรัฐคุมขึ้นทะเบียน ไม่ใช่แค่คนจีนซื้อห้องแล้วปล่อยเช่า ซีอีโอเซ็นทารา ยันไม่ยุติธรรมกับคนโรงแรม รัฐบังคับใช้กฏหมาย ไม่หวั่นนักท่องเที่ยวหาย ต้องการนักท่องเที่ยวคุณภาพ

จากกรณีที่มีเจ้าของคอนโดมิเนียม โดยเฉพาะชาวจีน ได้เข้ามาซื้อห้องพักเป็นจำนวนมาก ผ่านแอปพลิเคชันแอร์บีเอ็นบี (Airbnb) เพื่อปล่อยขายนักท่องเที่ยวจีนในราคาถูกๆ หรือที่เรียกกันว่า “คอนโดศูนย์เหรียญ” ไม่เพียงสร้างความเดือดร้อนให้กับลูกบ้านรายอื่นๆ ยังถือเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายในไทย

เนื่องจากพระราชบัญญัติโรงแรม พ.ศ.2547 กำหนดให้การให้บริการที่พักชั่วคราวเป็นรายวันต้องมีใบอนุญาตประกอบธุรกิจโรงแรมตามมาตรา 4 และมาตรา 15 ระบุว่าห้ามมิให้ผู้ใดประกอบธุรกิจโรงแรม เว้นแต่จะได้รับใบอนุญาตจากนายทะเบียน ซึ่งคอนโดมิเนียมส่วนใหญ่ไม่ได้มีใบอนุญาตดังกล่าว

สมาคมโรงแรมไทย จี้รัฐคุมคอนโดศูนย์เหรียญขายผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์

นายเทียนประสิทธิ์ ไชยภัทรานันท์ นายกสมาคมโรงแรมไทย (ทีเอชเอ) เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ”ว่า เรื่องนี้ไม่ควรเกิดขึ้นเลย เพราะตามกฎหมาย ไม่เพียงแต่คอนโดมีเนียมเท่านั้น แต่ห้องชุดที่อยู่ภายใต้นิติบุคคลอาคารชุด หรือหมู่บ้านจัดสรร ไม่สามารถนำมาขายห้องพักแบบรายวันได้

เทียนประสิทธิ์ ไชยภัทรานันท์

การกระทำนี้ถือว่าผิดกฎหมายโดยตรง และบางแพลตฟอร์มออนไลน์ ก็มีคอนเซ็ปต์หลักเน้นขายห้องลักษณะนี้โดยเฉพาะ ดังนั้นไทยต้องทบทวนว่าควรปิดแพลตฟอร์มนี้ชั่วคราวหรือไม่ หรือหากยังต้องการขาย รัฐต้องควบคุมโดยให้มีการขึ้นทะเบียนก่อน

จากปัญหาที่เกิดขึ้นไม่เพียงส่งผลให้โรงแรมต้องสูญเสียส่วนแบ่งทางการตลาดด้วย แต่การปล่อยเช่าในลักษณะนี้ยังละเลยการแจ้งรายชื่อนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เข้าพัก ซึ่งเป็นข้อกำหนดที่ต้องแจ้งสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองภายใน 24 ชั่วโมง แต่แพลตฟอร์มที่เกี่ยวข้องกลับไม่ได้ดำเนินการ

ในส่วนนี้ ส่งผลให้เกิดปัญหาด้านความมั่นคงและความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว ทั้งยังเกิดปัญหาความไม่ปลอดภัย และสร้างความรำคาญให้ผู้พักอาศัยในคอนโดมิเนียมอีกด้วย

ขายห้องพักรายวันผ่นแพลตฟอร์มออนไลน์ รัฐควรคุมให้มีการลงทะเบียนก่อน

สมาคมโรงแรมเสียใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ และเคยเสนอให้พิจารณาปิดแพลตฟอร์มเหล่านี้ชั่วคราวหรือกำหนดให้มีการขึ้นทะเบียนก่อน เพื่อให้สามารถควบคุมได้ว่าใครสามารถนำห้องพักหรือบ้านของตนมาปล่อยเช่าได้

โดยข้อกำหนดเบื้องต้นที่ควรมีคือ 1. ต้องไม่เป็นห้องชุด 2. ต้องไม่เป็นบ้านที่อยู่ในหมู่บ้านจัดสรร เพราะแพลตฟอร์มเหล่านี้ตั้งต้นจากการนำบ้านของประชาชนมาปล่อยเช่า และกฎหมายห้องชุดของไทยไม่ได้รองรับเรื่องนี้ หากทำไม่ได้ ก็ควรมีการออกมาตรการควบคุมอย่างชัดเจน

อีกทั้งผมเคยประสานงานกับภาครัฐเกี่ยวกับเรื่องนี้ โดยกรมการปกครองและตำรวจเป็นหน่วยงานที่มีอำนาจในการตรวจสอบ แต่ทราบมาว่าต้องมีหลักฐานและใบเสร็จ ซึ่งในมุมมองของผม หากมีการกระทำผิดกฎหมาย ก็ควรสามารถจับกุมได้โดยไม่ต้องใช้ใบเสร็จเป็นหลักฐาน เช่นเดียวกับกรณีการครอบครองอาวุธปืนหรือยาเสพติดที่สามารถจับกุมได้โดยไม่ต้องมีใบเสร็จ

นอกจากนี้ยังมีประเด็นที่เกี่ยวข้อง คือ การกระตุ้นตลาดอสังหาริมทรัพย์โดยการอนุญาตให้ต่างชาติถือกรรมสิทธิ์ห้องชุดมากขึ้น จากเดิม 49% เป็น 75% ซึ่งสมาคมโรงแรมไม่เห็นด้วย เพราะหากต่างชาติซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง ๆ ก็สามารถเลือกซื้อโครงการที่ยังขายไม่หมดได้อยู่แล้ว การเพิ่มสัดส่วนเป็น 75% จะทำให้ทุนต่างชาติเข้ามากว้านซื้อโครงการเดิม แต่อสังหาริมทรัพย์ที่ขายไม่ออกก็ยังคงขายไม่ได้อยู่ดี

อีกเรื่องที่ต้องพิจารณาคือ ชาวต่างชาติแต่ละคนควรสามารถซื้อห้องชุดได้กี่ยูนิต เพราะมีกรณีที่ชาวต่างชาติซื้อวิลล่าที่ภูเก็ตถึง 10-23 ยูนิต ซึ่งเป็นจำนวนที่มากเกินไปสำหรับการอยู่อาศัยส่วนตัว และอาจเป็นการเก็งกำไรหรือดำเนินธุรกิจผิดกฎหมาย ดังนั้นรัฐต้องให้ความสำคัญกับเรื่องความมั่นคงและผลกระทบต่อประชาชน มากกว่าการเน้นเพียงแค่รายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ให้กับต่างชาติ

นายเทียนประสิทธิ์ ยังกล่าวต่อว่า ประเด็นที่ต้องยอมรับ คือ หากเป็นนิติบุคคลอาคารชุด จะไม่สามารถดำเนินการเช่นนี้ได้ อันนี้ต้องยอมรับว่ามันทำไม่ได้ แต่หากภาคอสังหาริมทรัพย์ต้องการทำโมเดลนี้ ก็สามารถทำให้เป็นการเช่าระยะยาวแทน ซึ่งก็จะไม่เข้าข่ายเป็นนิติบุคคลอาคารชุดถูกต้องหรือไม่ ในกรณีที่ต้องการปล่อยเช่าแบบนี้ จะกลายเป็นว่าเป็นการลงทุนโดยตรง ผมไม่แน่ใจว่าการลงทุนในรูปแบบนี้สามารถทำได้มากน้อยเพียงใด

ภาครัฐควรเข้ามาตรวจสอบและกำหนดเงื่อนไขให้ชัดเจนเพื่อป้องกันปัญหาด้านความมั่นคง อย่างไรก็ตามในกรณีของอาคารชุด ไม่สามารถทำได้ ไม่ว่าการเพิ่มสัดส่วนการขายให้ต่างชาติจาก 49% เป็น 70% หรือ 90% ก็ไม่ทำให้ถูกกฎหมายขึ้นมา ดังนั้น หากทำไม่ได้ภาครัฐก็ไม่ควรจะอนุญาต

เราต้องไม่ย้อนคิดว่าอยากขายอสังหาริมทรัพย์แล้วต้องอนุญาตให้ทำทุกอย่าง ในบางประเทศ เช่น เมืองบาร์เซโลนา ได้มีการแบนแพลตฟอร์มให้เช่าระยะสั้น เหตุผลไม่ได้เกี่ยวข้องกับนักท่องเที่ยว หรือเรื่องการละเมิดสิทธิ์ใด ๆ แต่เป็นเพราะประชาชนต้องซื้อที่อยู่อาศัยในราคาที่แพงขึ้น เนื่องจากราคาที่ดินเฟ้อจากการที่ชาวต่างชาติหรือกลุ่มนักลงทุนมากว้านซื้อเพื่อเก็งกำไร เมื่อเป็นเช่นนี้ ประชาชนในประเทศก็ต้องออกไปอาศัยอยู่นอกเมือง ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่เป็นธรรม

ดังนั้นการที่ต้องซื้อลงทุนเพื่อเก็งกำไรโดยอาศัยช่องโหว่ทางกฎหมาย จึงไม่ควรได้รับการสนับสนุน เพราะสุดท้ายแล้วมันจะสร้างภาระให้กับประชาชนในประเทศมากกว่าผลประโยชน์ที่ได้รับ การปล่อยเช่าคอนโดมีเนียม เพื่อขายในแพลตฟอร์ม ก็ไม่ได้มีเฉพาะจีน อาจจะมีชาติอื่นบ้าง ในแล้วแต่พื้นที่ที่เค้ามีความชํานาญ บางชาติก็ชํานาญภูเก็ต บางชาติก็ชํานาญกรุงเทพ และก็มีคนไทยทำเหมือนกัน ซึ่งไม่ควรทำ

ไม่เป็นธรรมกับโรงแรมและธุรกิจที่ทำถูกกฏหมาย

ขณะที่ นาย ธีระยุทธ จิราธิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร โรงแรมและรีสอร์ทในเครือเซ็นทารา กล่าวว่า จากข่าวกรณีการปล่อยคอนโดฯ ให้เช่าเป็นที่พักรายวัน ผ่าน Airbnb เราไม่รู้เลยว่าหายไปเท่าไหร่ในระบบ แต่เมื่อเห็นแบบนี้แล้ว รัฐบาลไม่ควรปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไป เพราะเป็นการทำธุรกิจที่ไม่แฟร์

ธีระยุทธ จิราธิวัฒน์

เนื่องจากคนทำโรงแรม กว่าจะได้ใบอนุญาตโรงแรมมาไม่ได้ง่าย ต้องผ่านขั้นตอนต่างๆมากมาย การทำธุรกิจต้องมีค่าใช้จ่าย แต่การเอาคอนโดฯมาขายรายวัน ผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ ไม่ได้เป็นการลงทุนอะไรเลย ถือว่าเป็นการทำธุรกิจบนพื้นฐานที่มันไม่แฟร์ต่อกัน และยังสร้างความกังวลใจให้แก่ผู้ที่พักอาศัยอยู่ในคอนโดมิเนียม

“ผมเชื่อว่ารัฐบาลน่าจะต้องเข้มมากกว่านี้ในการดูแลเรื่องเหล่านี้ ซึ่งแม้ว่าในประเทศอื่นจะให้ทำได้ แต่เรื่องเหล่านี้ขึ้นอยู่กับการจัดการของแต่ละประเทศมากกว่า ถ้าจะทำให้อยู่ในกรอบก็ทำได้ ต้องมีกฎเกณฑ์ที่ชัดเจน ไม่ใช่ว่าแอบทำแบบนี้ผิดกฎหมาย ผมดีใจที่มีการเปิดเผยเรื่องนี้ หวังว่าหน่วยงานราชการจะมีวิธีการดำเนินการอย่างจริงจัง และเชื่อว่าผู้ประกอบการโรงแรมทุกคนอยากให้รัฐบาลดำเนินการต่อ ไม่ใช่มีข่าวแล้วเงียบไป”

สิ่งที่เราเห็นหลังโควิด คือ นักท่องเที่ยวจีนแบบกรุ๊ปทัวร์หายไปค่อนข้างเยอะ แต่มาเป็นแบบ individual มากขึ้น Room Rate และการใช้จ่ายก็ดีขึ้น ผู้ประกอบการก็แฮปปี้กว่าการที่มีจำนวนนักท่องเที่ยวเข้ามามากๆ แต่การใช้จ่ายน้อย ดังนั้นหากรัฐแก้ปัญหาคนที่ทำไม่ถูกต้องได้ แล้วถามว่าคนจีนจะหายไปไหม ถ้าพวกนั้นหายไป ผมถือว่านั่นอาจไม่ใช่ตลาด ที่เราต้องการหรือเปล่า เข้ามาก็เข้ามาถูกๆ ใช้ทรัพยากรของเรา แล้วก็ไป

ผมว่าเราอยากได้นักท่องเที่ยวที่มีคุณภาพ ชื่นชอบเมืองไทย มาเที่ยวเมืองไทย มากินอาหารเมืองไทย และใช้จ่ายอย่างที่ควรจะป็น เพราะเราไม่รู้เลยว่าที่เข้ามาแบบนั้นทำอะไรบ้าง นายธีระยุทธ กล่าวทิ้งท้าย

หน้า 10 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 4,077 วันที่ 9 - 12 มีนาคม พ.ศ. 2568