จากภาคการท่องเที่ยวของไทยที่กลับมาคึกคัก ส่งผลธุรกิจโรงแรมไทยเป็นที่จับจ้องในการเข้ามาลงทุน โดยเฉพาะกลุ่มโรงแรมระดับ 4-5 ดาว ที่ทำรายได้จากค่าห้องพักสูงเกินช่วงก่อนเกิดโควิด ปี 2562 ไปแล้ว
จากข้อมูลของคอลลิเออร์ส อินแตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย จำกัด เผยว่า การซื้อขายโรงแรมในประเทศไทย ในปี 257 ประมาณ 12 แห่ง จำนวน 3,199 ห้องพัก ด้วยมูลค่าการซื้อขายโรงแรมไทย 16,778 ล้านบาท และทั้งหมดเป็นการซื้อขายในเมืองท่องเที่ยว เช่น ภูเก็ต กรุงเทพฯ เชียงใหม่ และ สมุย
อีกทั้งยังมีโรงแรมที่อยู่ระหว่างการเจรจาซื้อขายอีกจำนวนมาก คาดการณ์ว่าทั้งปีนี้มูลค่าการซื้อขายโรงแรมไทย อาจอยู่ที่ 18,000 ล้านบาท สูงที่สุดในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา
นายภัทรชัย ทวีวงศ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและการสื่อสาร บริษัท คอลลิเออร์ส อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย จำกัด กล่าวว่า นักลงทุนชาวไทยและต่างชาติให้ความสนใจเข้าซื้อโรงแรมในประเทศไทยเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะกรุงเทพฯ ภูเก็ต สมุย พัทยา กระบี่ และเชียงใหม่ เมืองท่องเที่ยวหลักที่มีนักท่องเที่ยวต่างชาติ เข้ามาท่องเที่ยวเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง
สำหรับภาพรวมโรงแรมที่นักลงทุนให้ความสนใจเข้าซื้อคือ 1.ผลตอบแทนจะต้องมากกว่า 6% ต่อปี 2.อายุอาคารไม่ควรเกิน 15 ปี หรือต่ำกว่า 10 ปียิ่งน่าสนใจ 3.จำนวนห้องพักควรมากกว่า 150 ห้อง เนื่องจากจะคุ้มค่าเงินลงทุน เพราะหากซื้อมาแล้วต้องลงทุนรีโนเวตแล้วอัพเกรดขึ้น หรือมีการนำแบรนด์ของโรงแรมที่ดังอยู่แล้วหรือโรงแรมเชนหรือที่ในวงการเรียกกันว่า “Brand Affiliation” มาช่วยบริหารโรงแรม
สอดคล้องกับ เจแอลแอล (JLL) ที่ระบุว่า ในปี 2567 JLL ปิดการขายโรงแรมที่สำคัญในประเทศไทยไปแล้วหลายรายการ ได้แก่ เดอะ ละไม สมุย รีสอร์ท แอนด์ สปา, โรงแรมฮิลตัน การ์เด้น อินน์ ภูเก็ต บางเทา, พอร์ทโฟลิโอเซอร์อพาร์ทเม้นท์ 5 อาคาร ซึ่งมีห้องพักรวมกว่า 1,800 ห้อง
รวมถึง โรงแรมไฮแอท รีเจนซี่ กรุงเทพฯ สุขุมวิท ของบริษัท แกรนด์ แอสเสท โฮเทลส์ แอนด์ พรอพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) ที่มีมูลค่าซื้อขาย 5 พันล้านบาท ซึ่งจะเป็นการซื้อขายสินทรัพย์เดี่ยวประเภทโรงแรมที่มีมูลค่าสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในประเทศไทย
นายกฤช ปิ่มหทัยวุฒิ หัวหน้าแผนกตลาดทุนประจำประเทศไทย บริษัท โจนส์ แลง ลาซาลล์ (ประเทศไทย) จํากัด (JLL) เปิดเผยว่าตลาดการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ในปี 2567 เติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยบริษัทให้คำปรึกษาการลงทุนรวม 38,000 ล้านบาท ไฮไลต์ได้แก่ ดีลเช่าระยะยาวที่ดินแปลงใหญ่ย่านราชดำริ การซื้อที่ดินของผู้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์ระดับโลกในนิคมอุตสาหกรรม การซื้อที่ดินย่านบางนาพัฒนาดาต้าเซ็นเตอร์ และดีลเช่าที่ดินระยะยาวพัฒนาโรงแรมถนนสุขุมวิท สะท้อนถึงความเชื่อมั่นที่เพิ่มขึ้นในศักยภาพของประเทศไทยในฐานะศูนย์กลางการลงทุนระดับภูมิภาค
ทั้งนี้ในส่วนของตลาดการลงทุนโรงแรมปี 2567 มีมูลค่าซื้อขายกว่า 22,000 ล้านบาท จาก 15 ดีล สูงกว่าค่าเฉลี่ยแต่ละปีตั้งแต่ปี 2553 ถึง 10,000 ล้านบาท โดยทำเลกรุงเทพฯ มีมูลค่าซื้อขายเกือบ 50% ตามด้วยภูเก็ต เชียงใหม่ ซึ่งปี 2567 ได้สร้างมาตรฐานใหม่ให้กับตลาดโรงแรม ด้วยดีลสำคัญอย่างการซื้อขายโรงแรมไฮแอท รีเจนซี่ สุขุมวิท ซึ่งถือเป็นดีลซื้อขายสินทรัพย์เดี่ยว (Single-Asset) ที่ใหญ่ที่สุดในประวัติการณ์และคาดการณ์ปี 2568 มูลค่าการทำธุรกรรมจะสูงกว่า 13,000 ล้านบาท มากกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศตั้งแต่ปี 2553 ประมาณ 12%
นายปวินท์ เลิศปัญญาโรจน์ ผู้อำนวยการภาคพื้นเอเชีย กลุ่มธุรกิจบริการการลงทุนด้านโรงแรมของ JLL กล่าวว่า โรงแรมห้าดาวระดับ ไฮแอท รีเจนซี่ กรุงเทพฯ สุขุมวิท เป็นที่ต้องการสูงมากในหมู่นักลงทุน แต่ไม่ได้มีออกมานำเสนอบ่อยนัก การซื้อขายครั้งนี้จึงมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง นอกจากนี้ ธุรกรรมนี้ยังเป็นการสร้างแรงกระตุ้นที่สำคัญให้กับตลาดการลงทุนซื้อขายโรงแรมของไทยที่มีความร้อนแรงอยู่ก่อนแล้ว โดยเราคาดว่า การลงทุนซื้อขายโรงแรมของไทยในปีนี้จะมีมูลค่ารวมกว่า 2 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 300% จากปี 2566
หน้า 10 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจฉบับที่ 4,060 วันที่ 9 - 11 มกราคม พ.ศ. 2568