ระเบียบข้อบังคับใหม่ของโลกด้านความยั่งยืน ถือเป็นก้าวสำคัญที่ท้าทายของการท่องเที่ยวไทยท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของโลกในศตวรรษที่ 21 อันเป็นผลจากข้อตกลงการด้านการจัดการสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ สังคม ไปสู่ความยั่งยืน โดยองค์กรนานาชาติที่มีบทบาทสำคัญในการกำหนดทิศทางของประชาชาติในระดับโลก
โดยเฉพาะเมื่อธุรกิจในสหภาพยุโรป หรือ EU ทั้งหมดจะอยู่ภายใต้ข้อกำหนด CSDDD (Corporate Sustainability Due Diligence Directive) ที่ต้องรับผิดชอบต่อผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม และด้านสิทธิมนุษยชนในการดำเนินธุรกิจในห่วงโซ่อุปทาน จึงต้องมีมาตรการตรวจสอบให้แน่ใจได้ว่า พันธมิตรหรือคู่ค้าของตนทั้งหมดได้ปฏิบัติตามมาตรฐานเหล่านี้
ทั้งนี้หากผู้ประกอบการท่องเที่ยวไทยไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนดของ EU ย่อมเกิดความเสี่ยงในการเข้าร่วมเป็นพันธมิตรกับสหภาพยุโรป ทั้งบริษัททัวร์ บริษัทตัวแทนท่องเที่ยว และเครือโรงแรมในยุโรป
ทั้งยังทำให้ไทยสูญเสียความได้เปรียบทางการแข่งขันในตลาดโลก เนื่องจากนักท่องเที่ยวยุคใหม่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืนมากขึ้น ทำให้อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทย ต้องเตรียมพร้อมในการรับมือ กับ กติการักษ์โลกใหม่ ที่จะเริ่มมีผลบังคับใช้ในปี 2569 หากยังอยากต้องการดำเนินธุรกิจอย่างเข้มแข็งในเวทีโลกต่อไป
ต่อเรื่องนี้ ผศ.ดร. จุฑามาศ วิศาลสิงห์ นักวิชาการด้านการท่องเที่ยวที่ยั่งยืน กล่าวว่า ภาพรวมของทิศทางของการท่องเที่ยวในโลกยุคใหม่ ที่ส่งผลโดยตรงกับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทยบนเวทีการแข่งขันในระดับโลก ซึ่งอยู่ภายใต้กฎระเบียบใหม่ 6 ด้าน จากที่ข้อตกลง และอนุสัญญาต่างๆ ประกอบด้วย
1.UN Sustainable Development Goals (SDGs) ซึ่งเป็นเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน 17 ประการของสหประชาชาติ ที่เชื่อมโยงด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม
2.Paris Agreement หรือข้อตกลงปารีส มุ่งเน้นในด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งหมายถึงการลดคาร์บอนฟุตปรินต์ และการใช้พลังงานหมุนเวียนในภาคการท่องเที่ยวให้มากขึ้น
3. Global Code of Ethics for Tourism (UNWTO ) หรือ จรรยาบรรณขององค์การการท่องเที่ยวโลก ซึ่งมีหลักการสำคัญ คือ มุ่งหวังให้การท่องเที่ยวเสริมสร้างสันติภาพ และการพัฒนาที่ยั่งยืน รับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม ชุมชนท้องถิ่น และมรดกทางวัฒนธรรม
4. Agenda 21 for Culture :วาระที่ 21 สำหรับวัฒนธรรม เป็นการบูรณาการวัฒนธรรมเข้ากับกลยุทธ์การพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติในเชิงการเรียนรู้ร่วมกัน
5. ISO 14001 (Environmental Management Systems) ระบบการจัดการสิ่งแวดล้อม ISO 14001 ซึ่งเป็นมาตรฐานสากลในการจัดการสิ่งแวดล้อม และใช้ในธุรกิจการท่องเที่ยว
6. Convention on Biological Diversity (CBD) หรือ อนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ (CBD) ซึ่งเรียกร้องให้อุตสาหกรรมท่องเที่ยวลดผลกระทบต่อถิ่นอาศัยตามธรรมชาติ และสนับสนุนการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพจากข้อบังคับ
ข้อตกลงระดับนานาชาติทั้ง 6 ด้านนี้ได้เริ่มส่งผลโดยตรงอย่างเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะในสหภาพยุโรป ( EU) ซึ่งเป็นหนึ่งในตลาดการท่องเที่ยวหลักของโลก ได้กำหนดข้อบังคับใหม่ที่จะมีผลบังคับใช้ภายในปี 2569
ส่งผลให้ภาคการท่องเที่ยวไทยในทุกภาคส่วน ที่มีสหภาพยุโรปเป็นคู่ค้าในการส่งนักท่องเที่ยวจากยุโรปเดินทางมาเที่ยวประเทศไทย จะต้องมีรายงานผล และการตรวจสอบใน 2 เรื่องหลัก ได้แก่
1. คำสั่งการรายงานความยั่งยืนขององค์กร (CSRD) เป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลงด้านสิ่งแวดล้อมเพื่อความโปร่งใส โดย กำหนดให้บริษัทขนาดใหญ่ ตลอดจน SME ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ต้องรายงานกิจกรรมทางธุรกิจของตนว่าส่งผลกระทบต่อผู้คนและสิ่งแวดล้อมอย่างไร และแนวทางความยั่งยืน มีผลต่อสถานการณ์ทางการเงินของบริษัทอย่างไร
2. คำสั่งการตรวจสอบความยั่งยืนขององค์กร (CSDDD) มุ่งเน้นข้อผูกพันด้านสิทธิมนุษยชน และการตรวจสอบความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม เพื่อป้องกันการดำเนินการอันไม่พึงประสงค์ในการดำเนินการขององค์กรขนาดใหญ่นั้นๆ
ดังนั้นจึงอาจกล่าวได้ว่าข้อบังคับใหม่ของสหภาพยุโรป คือ กระบวนการจัดการอย่างยั่งยืนที่คาดหวังผลสัมฤทธิ์สูง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อธุรกิจการท่องเที่ยวโดยตรง การเตรียมพร้อมรับมือจึงถือว่าเป็นเรื่องจำเป็น หากไม่อยากถูกทิ้งไว้ข้างหลัง หรือโดดเดี่ยวในเวทีโลก
ขณะเดียวกันนางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ททท. กล่าวว่า สิ่งที่เกิดขึ้นนับเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทยจำเป็นต้องปรับตัว ในด้านการปฏิบัติตามกฎระเบียบด้านความยั่งยืนของสหภาพยุโรป
เพราะบริษัทต่างๆ ในสหภาพยุโรปก็ต้องให้แน่ใจว่า ห่วงโซ่อุปทานทั้งหมดของตนนั้นได้ปฏิบัติตามมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และการกำกับดูแล (ESG) ที่เข้มงวด ซึ่งหมายความว่าธุรกิจการท่องเที่ยวของไทยจะต้องนำแนวทางปฏิบัติที่ยั่งยืนมาใช้ในทุกขั้นตอนเพื่อให้มีสิทธิ์เป็นพันธมิตรกับบริษัทในสหภาพยุโรปต่อไป
ทั้งนี้ ททท. ได้สนับสนุนให้อุตสาหกรรมท่องเที่ยวเกิดความพร้อมที่จะเปลี่ยนผ่านไปสู่ความยั่งยืนมาโดยตลอด โดยได้ริเริ่มผลักดันมาตรฐานความยั่งยืน ผ่านโครงการต่างๆ มาก่อนแล้ว โดยยึดแนวทางที่สอดคล้องกับหลักการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ ตลอดจนริเริ่มโครงการที่เป็นการยกระดับห่วงโซ่อุปทาน (Shape Supply) เพื่อให้เกิดความพร้อมที่จะเปลี่ยนผ่านสู่ กฎ ข้อบังคับ มาตรฐานความยั่งยืนด้านการท่องเที่ยวที่เกิดขึ้นทั่วโลก
อย่างไรก็ตามการเปลี่ยนแปลงนี้ จะส่งผลดีต่อภาพรวมในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยในอนาคตอย่างแน่นอน
“การปฏิบัติด้านการท่องเที่ยวที่ยั่งยืน ไม่เพียงตอบสนองข้อกำหนดของสหภาพยุโรปเท่านั้น แต่ยังเป็นการสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันในตลาดโลก เนื่องจากนักท่องเที่ยวยุคใหม่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืนมากขึ้น การแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นต่อปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม และความรับผิดชอบทางสังคม ย่อมสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม และนักลงทุนจากต่างประเทศที่กำลังเพิ่มจำนวนขึ้นได้” ผู้ว่าททท.กล่าวทิ้งท้าย
ล่าสุดเราจึงเริ่มเห็นผลกระทบบ้างแล้ว เมื่อโรงแรมไทยกำลังถูกผลักดันให้ยั่งยืนยิ่งขึ้น เพื่อรับกติการักษ์โลกของ EU ภายในปี 2569 จากกรณีที่ Booking.com และ Agoda ซึ่งเป็นบริษัทภายใต้การบริหารของบริษัทแม่เดียวกัน (Booking Holdings) ต้องปฏิบัติตามข้อกำหนด CSRD และ CSDDD ตามข้อกำหนดของ EU
โดย Booking Holdings มีนโยบายส่งเสริมโรงแรมทั่วโลกที่ขายห้องพักบนแพลตฟอร์มออนไลน์ ทราเวล เอเย่นต์ (OTA) ดังกล่าว ต้องได้รับการรับรองมาตรฐานความยั่งยืนในระดับสากล เช่น Greenkey, Green Globe, Travelife, EarthCheck, GSTC และรวมถึง Green Hotel Plus ของไทยที่ได้รับ GSTC-Recognized Standard
ส่งผลให้โรงแรมของไทยที่ไม่ได้มีการรับรองมาตรฐานความยั่งยืนในระดับสากล จะถูกแบนหรือปิดกั้นการมองเห็นจาก OTA เหล่านี้ ซึ่งปัจจุบันมีโรงแรมและที่พักของไทยกว่า 2 หมื่นแห่งขายห้องพักบน Booking.com นอกจากนี้ ข้อกำหนดดังกล่าวยังรวมไปถึงบริษัททัวร์ในยุโรปที่ขายแพ็กเกจท่องเที่ยวไทยด้วย
อีกทั้งจากข้อมูลโครงการสำรวจเพื่อการวิเคราะห์พฤติกรรมนักท่องเที่ยวระหว่างประเทศในไตรมาส 3 ปี 2567 ของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)จะพบว่า 56% ของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางมาไทยนิยมจองโรงแรมและที่พักผ่าน OTAs และ 35% ของนักท่องเที่ยวยุโรปจองโรงแรมและที่พักผ่านบริษัททัวร์
จากข้อมูลจึงบ่งชี้ว่าได้ว่าข้อกำหนดใหม่นี้จะส่งผลกระทบต่อธุรกิจโรงแรมไทยและการท่องเที่ยวไทย ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งปัจจัยท้าทาย เนื่องจากในปีที่ผ่านมา นักท่องเที่ยวต่างชาติเที่ยวไทย 35.54 ล้านคน ในจำนวนนี้เป็นนักท่องเที่ยวยุโรป กว่า 7.05 ล้านคน
นายเทียนประสิทธิ์ ไชยภัทรานันท์ นายกสมาคมโรงแรมไทย (ทีเอชเอ) เผยว่า เนื่องจากภายในปี 2569 มีกฏจาก Global Sustainable Tourism Council หรือ GSTC ที่จะแบนแหล่งท่องเที่ยว หรือโรงแรมที่ไม่ได้ทำเรื่องความยั่งยืน เช่น การขายโรงแรมในแพลตฟอร์มออนไลน์ระดับโลก ก็จะเห็นเฉพาะโรงแรมที่ได้รับใบรับรองเรื่องความยั่งยืน เป็นต้น โดยจะเริ่มเห็นในยุโรปก่อน
จากนั้นมาตรการเหล่านี้ก็คงกระจายไปในภูมิภาคต่างๆ จึงอยากจะให้รัฐบาลให้ความสำคัญเรื่องการสนับสนุนภาคเอกชน อย่างโรงแรม สถานที่ท่องเที่ยว และซัพพลายเชนที่เกี่ยวข้อง ดำเนินการเรื่องความยั่งยืน โดยสนับสนุนให้สถาบันการเงินออกแพ็คเกจซอฟต์โลน เพื่อปล่อยกู้ให้โรงแรม หรือธุรกิจ นำเงินมาพัฒนาสถานประกอบการ เพื่อนำไปสู่ความยั่งยืน
อีกทั้งปัญหาสำคัญในขณะนี้ คือ การออกใบรับรองการดำเนินการของโรงแรมด้านความยั่งยืน หรือ Hotel Plus ที่ในขณะนี้กรมลดโลกร้อน เป็นเจ้าภาพในการออกใบรับรอง แต่ก็พบปัญหาว่ามีศักยภาพในการตรวจรับรองได้เพียงปีละ 60 โรงแรมเท่านั้น ขณะที่โรงแรมในไทยมีหลายหมื่นโรงแรม จึงอยากให้รัฐบาลเข้ามาแก้ปัญหานี้อย่างจริงจัง
คงปฏิเสธไม่ได้ว่ากติการักษ์โลกนี้น่าเป็นห่วงมากสำหรับธุรกิจโรงแรมในไทย ซึ่งเป็นหากเป็นโรงแรมเชน ทั้งเชนต่างประเทศและเชนไทย มีความเข้าใจในเรื่องนี้ดี และได้ทยอยดำเนินการไปแล้วต่อเนื่อง สวนทางกับโรงแรมไทยในภาพรวมยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นของการก้าวสู่ความยั่งยืน
วัดผลได้จากจำนวนโรงแรมที่ได้รับมาตรฐานด้านความยั่งยืนในระดับสากลทั้งหมดในปี 2567 อยู่ที่ราว 100 แห่ง หรือมีสัดส่วนไม่ถึง 1% ของโรงแรมและที่พักในไทยทั้งหมด ทั้งยังกระจุกตัวอยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯ และภูเก็ต
อีกทั้งจากข้อมูลการประเมินการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของธุรกิจโรงแรมทั่วโลก จาก The Department for Environment, Food & Rural Affairs (DEFRA) ของสหราชอาณาจักร ยังพบว่า ในปี 2566 โรงแรมไทยยังปล่อยก๊าซเรือนกระจกในปริมาณที่ค่อนข้างสูงที่ 43.4 kgCO2e per occupied room เมื่อเทียบกับเมืองท่องเที่ยวสำคัญของโลกอย่างญี่ปุ่น สิงคโปร์ อิตาลี และฝรั่งเศส
สำหรับเหตุผลการก้าวเข้าสู่มาตรฐานด้านความยั่งยืนที่ล่าช้า เกิดจาก 3 ปัจจัยหลัก ได้แก่
1. ธุรกิจโรงแรมส่วนใหญ่ยังขาดความเข้าใจถึงประโยชน์ในระยะยาวของการเป็นโรงแรมยั่งยืน
2. ขาดความพร้อมในด้านเงินทุน บุคลากร ที่ปรึกษา และการเก็บข้อมูลด้านความยั่งยืนอย่างเป็นระบบเนื่องจากธุรกิจโรงแรมเพิ่งฟื้นตัวจากวิกฤตโควิด-19 ได้ไม่นาน
3.ขาดแรงกระตุ้นในการผลักดันให้ธุรกิจโรงแรมเปลี่ยนผ่านสู่ความยั่งยืนทั้งจากนโยบายของรัฐบาล และรัฐเองก็ยังปรับตัวไม่ทัน การออกนโยบายจึงกระชั้นชิด ซึ่งการออกใบรับรอง Hotel Plus ที่ล่าช้า และเพิ่งหาเจ้าภาพในการดำเนินการเรื่องนี้ได้ไม่นาน ก็สะท้อนเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดีว่าภาครัฐเองก็ตั้งรับไม่ทัน
นี่เองจึงทำให้โรงแรมไทยในภาพรวมยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นบนเส้นทางของความยั่งยืน ซึ่งต้องปลุกให้เกิดความตื่นตัว ไม่เช่นนั้นการมานั่งตามกฏกติกาในภายหลัง ย่อมเหนื่อยกว่าผู้ที่เตรียมรับมือไว้แล้ว แถมยังเสียโอกาสในการดำเนินธุรกิจที่จะเกิดขึ้นตามมาด้วย
หน้า 10 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจฉบับที่ 4,072 วันที่ 20 - 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568
ข่าวที่เกี่ยวข้อง