environment

เตือนธุรกิจท่องเที่ยวไทย รับมือกติการักษ์โลก EU ปี 69 หากไม่อยากโดดเดี่ยว

    ธุรกิจท่องเที่ยวไทยกำลังถูกบีบให้เข้าสู่การขับเคลื่อนธุรกิจอย่างยั่งยืน เพื่อรับกติการักษ์โลกของ EU ข้อบังคับใหม่ ที่จะมีผลในปี 2569 ไม่เช่นนั้นจะต้องถูกโดดเดี่ยวในเวทีโลก ดังนั้นในปี 2568 นี้ ธุรกิจโรงแรมไทยต้องเตรียมพร้อม เพื่อรับมือกับความท้าทายที่จะเกิดขึ้น

ธุรกิจท่องเที่ยวไทย ถูกบีบจากกติการักษ์โลก

ระเบียบข้อบังคับใหม่ของโลกด้านความยั่งยืน ถือเป็นก้าวสำคัญที่ท้าทายของการท่องเที่ยวไทยท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของโลกในศตวรรษที่ 21 อันเป็นผลจากข้อตกลงการด้านการจัดการสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ สังคม ไปสู่ความยั่งยืน โดยองค์กรนานาชาติที่มีบทบาทสำคัญในการกำหนดทิศทางของประชาชาติในระดับโลก

การท่องเที่ยวไทยถูกบีบให้รักษ์โลก เพื่อดำเนินธุรกิจท่องเที่ยวในเวทีโลก

โดยเฉพาะเมื่อธุรกิจในสหภาพยุโรป หรือ EU ทั้งหมดจะอยู่ภายใต้ข้อกำหนด CSDDD (Corporate Sustainability Due Diligence Directive) ที่ต้องรับผิดชอบต่อผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม และด้านสิทธิมนุษยชนในการดำเนินธุรกิจในห่วงโซ่อุปทาน จึงต้องมีมาตรการตรวจสอบให้แน่ใจได้ว่า พันธมิตรหรือคู่ค้าของตนทั้งหมดได้ปฏิบัติตามมาตรฐานเหล่านี้

ทั้งนี้หากผู้ประกอบการท่องเที่ยวไทยไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนดของ EU ย่อมเกิดความเสี่ยงในการเข้าร่วมเป็นพันธมิตรกับสหภาพยุโรป ทั้งบริษัททัวร์ บริษัทตัวแทนท่องเที่ยว และเครือโรงแรมในยุโรป

ทั้งยังทำให้ไทยสูญเสียความได้เปรียบทางการแข่งขันในตลาดโลก เนื่องจากนักท่องเที่ยวยุคใหม่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืนมากขึ้น ทำให้อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทย ต้องเตรียมพร้อมในการรับมือ กับ กติการักษ์โลกใหม่ ที่จะเริ่มมีผลบังคับใช้ในปี 2569 หากยังอยากต้องการดำเนินธุรกิจอย่างเข้มแข็งในเวทีโลกต่อไป

ผลกระทบ-แนวทางรับมือ

ต่อเรื่องนี้ ผศ.ดร. จุฑามาศ วิศาลสิงห์ นักวิชาการด้านการท่องเที่ยวที่ยั่งยืน กล่าวว่า ภาพรวมของทิศทางของการท่องเที่ยวในโลกยุคใหม่ ที่ส่งผลโดยตรงกับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทยบนเวทีการแข่งขันในระดับโลก ซึ่งอยู่ภายใต้กฎระเบียบใหม่ 6 ด้าน จากที่ข้อตกลง และอนุสัญญาต่างๆ ประกอบด้วย

1.UN Sustainable Development Goals (SDGs) ซึ่งเป็นเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน 17 ประการของสหประชาชาติ ที่เชื่อมโยงด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม

2.Paris Agreement หรือข้อตกลงปารีส มุ่งเน้นในด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งหมายถึงการลดคาร์บอนฟุตปรินต์ และการใช้พลังงานหมุนเวียนในภาคการท่องเที่ยวให้มากขึ้น

3. Global Code of Ethics for Tourism (UNWTO ) หรือ จรรยาบรรณขององค์การการท่องเที่ยวโลก ซึ่งมีหลักการสำคัญ คือ มุ่งหวังให้การท่องเที่ยวเสริมสร้างสันติภาพ และการพัฒนาที่ยั่งยืน รับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม ชุมชนท้องถิ่น และมรดกทางวัฒนธรรม

4. Agenda 21 for Culture :วาระที่ 21 สำหรับวัฒนธรรม เป็นการบูรณาการวัฒนธรรมเข้ากับกลยุทธ์การพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติในเชิงการเรียนรู้ร่วมกัน

5. ISO 14001 (Environmental Management Systems) ระบบการจัดการสิ่งแวดล้อม ISO 14001 ซึ่งเป็นมาตรฐานสากลในการจัดการสิ่งแวดล้อม และใช้ในธุรกิจการท่องเที่ยว

6. Convention on Biological Diversity (CBD) หรือ อนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ (CBD) ซึ่งเรียกร้องให้อุตสาหกรรมท่องเที่ยวลดผลกระทบต่อถิ่นอาศัยตามธรรมชาติ และสนับสนุนการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพจากข้อบังคับ

ข้อตกลงระดับนานาชาติทั้ง 6 ด้านนี้ได้เริ่มส่งผลโดยตรงอย่างเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะในสหภาพยุโรป  ( EU) ซึ่งเป็นหนึ่งในตลาดการท่องเที่ยวหลักของโลก ได้กำหนดข้อบังคับใหม่ที่จะมีผลบังคับใช้ภายในปี 2569

ส่งผลให้ภาคการท่องเที่ยวไทยในทุกภาคส่วน  ที่มีสหภาพยุโรปเป็นคู่ค้าในการส่งนักท่องเที่ยวจากยุโรปเดินทางมาเที่ยวประเทศไทย  จะต้องมีรายงานผล และการตรวจสอบใน 2 เรื่องหลัก ได้แก่

1. คำสั่งการรายงานความยั่งยืนขององค์กร (CSRD) เป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลงด้านสิ่งแวดล้อมเพื่อความโปร่งใส โดย กำหนดให้บริษัทขนาดใหญ่ ตลอดจน SME ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ต้องรายงานกิจกรรมทางธุรกิจของตนว่าส่งผลกระทบต่อผู้คนและสิ่งแวดล้อมอย่างไร และแนวทางความยั่งยืน มีผลต่อสถานการณ์ทางการเงินของบริษัทอย่างไร

2. คำสั่งการตรวจสอบความยั่งยืนขององค์กร (CSDDD) มุ่งเน้นข้อผูกพันด้านสิทธิมนุษยชน และการตรวจสอบความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม เพื่อป้องกันการดำเนินการอันไม่พึงประสงค์ในการดำเนินการขององค์กรขนาดใหญ่นั้นๆ

ดังนั้นจึงอาจกล่าวได้ว่าข้อบังคับใหม่ของสหภาพยุโรป คือ กระบวนการจัดการอย่างยั่งยืนที่คาดหวังผลสัมฤทธิ์สูง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อธุรกิจการท่องเที่ยวโดยตรง การเตรียมพร้อมรับมือจึงถือว่าเป็นเรื่องจำเป็น หากไม่อยากถูกทิ้งไว้ข้างหลัง หรือโดดเดี่ยวในเวทีโลก

ขณะเดียวกันนางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ททท. กล่าวว่า สิ่งที่เกิดขึ้นนับเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทยจำเป็นต้องปรับตัว ในด้านการปฏิบัติตามกฎระเบียบด้านความยั่งยืนของสหภาพยุโรป 

เพราะบริษัทต่างๆ ในสหภาพยุโรปก็ต้องให้แน่ใจว่า ห่วงโซ่อุปทานทั้งหมดของตนนั้นได้ปฏิบัติตามมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และการกำกับดูแล (ESG) ที่เข้มงวด ซึ่งหมายความว่าธุรกิจการท่องเที่ยวของไทยจะต้องนำแนวทางปฏิบัติที่ยั่งยืนมาใช้ในทุกขั้นตอนเพื่อให้มีสิทธิ์เป็นพันธมิตรกับบริษัทในสหภาพยุโรปต่อไป

ทั้งนี้ ททท. ได้สนับสนุนให้อุตสาหกรรมท่องเที่ยวเกิดความพร้อมที่จะเปลี่ยนผ่านไปสู่ความยั่งยืนมาโดยตลอด โดยได้ริเริ่มผลักดันมาตรฐานความยั่งยืน ผ่านโครงการต่างๆ มาก่อนแล้ว โดยยึดแนวทางที่สอดคล้องกับหลักการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ ตลอดจนริเริ่มโครงการที่เป็นการยกระดับห่วงโซ่อุปทาน (Shape Supply) เพื่อให้เกิดความพร้อมที่จะเปลี่ยนผ่านสู่ กฎ ข้อบังคับ มาตรฐานความยั่งยืนด้านการท่องเที่ยวที่เกิดขึ้นทั่วโลก

อย่างไรก็ตามการเปลี่ยนแปลงนี้ จะส่งผลดีต่อภาพรวมในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยในอนาคตอย่างแน่นอน

“การปฏิบัติด้านการท่องเที่ยวที่ยั่งยืน ไม่เพียงตอบสนองข้อกำหนดของสหภาพยุโรปเท่านั้น แต่ยังเป็นการสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันในตลาดโลก เนื่องจากนักท่องเที่ยวยุคใหม่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืนมากขึ้น การแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นต่อปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม และความรับผิดชอบทางสังคม ย่อมสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม และนักลงทุนจากต่างประเทศที่กำลังเพิ่มจำนวนขึ้นได้” ผู้ว่าททท.กล่าวทิ้งท้าย

 2 หมื่นโรงแรมไทยระส่ำ

ล่าสุดเราจึงเริ่มเห็นผลกระทบบ้างแล้ว เมื่อโรงแรมไทยกำลังถูกผลักดันให้ยั่งยืนยิ่งขึ้น เพื่อรับกติการักษ์โลกของ EU ภายในปี 2569 จากกรณีที่ Booking.com และ Agoda ซึ่งเป็นบริษัทภายใต้การบริหารของบริษัทแม่เดียวกัน (Booking Holdings) ต้องปฏิบัติตามข้อกำหนด CSRD และ CSDDD ตามข้อกำหนดของ EU

โดย Booking Holdings มีนโยบายส่งเสริมโรงแรมทั่วโลกที่ขายห้องพักบนแพลตฟอร์มออนไลน์ ทราเวล เอเย่นต์ (OTA) ดังกล่าว ต้องได้รับการรับรองมาตรฐานความยั่งยืนในระดับสากล เช่น Greenkey, Green Globe, Travelife, EarthCheck, GSTC และรวมถึง Green Hotel Plus ของไทยที่ได้รับ GSTC-Recognized Standard

ส่งผลให้โรงแรมของไทยที่ไม่ได้มีการรับรองมาตรฐานความยั่งยืนในระดับสากล จะถูกแบนหรือปิดกั้นการมองเห็นจาก OTA เหล่านี้ ซึ่งปัจจุบันมีโรงแรมและที่พักของไทยกว่า 2 หมื่นแห่งขายห้องพักบน Booking.com นอกจากนี้ ข้อกำหนดดังกล่าวยังรวมไปถึงบริษัททัวร์ในยุโรปที่ขายแพ็กเกจท่องเที่ยวไทยด้วย

อีกทั้งจากข้อมูลโครงการสำรวจเพื่อการวิเคราะห์พฤติกรรมนักท่องเที่ยวระหว่างประเทศในไตรมาส 3 ปี 2567 ของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)จะพบว่า 56% ของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางมาไทยนิยมจองโรงแรมและที่พักผ่าน OTAs และ 35% ของนักท่องเที่ยวยุโรปจองโรงแรมและที่พักผ่านบริษัททัวร์

จากข้อมูลจึงบ่งชี้ว่าได้ว่าข้อกำหนดใหม่นี้จะส่งผลกระทบต่อธุรกิจโรงแรมไทยและการท่องเที่ยวไทย ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งปัจจัยท้าทาย เนื่องจากในปีที่ผ่านมา นักท่องเที่ยวต่างชาติเที่ยวไทย 35.54  ล้านคน ในจำนวนนี้เป็นนักท่องเที่ยวยุโรป กว่า 7.05 ล้านคน

ทีเอชเอ จี้รัฐ เพิ่มศักยภาพออก ใบรับรอง Hotel Plus

นายเทียนประสิทธิ์ ไชยภัทรานันท์ นายกสมาคมโรงแรมไทย (ทีเอชเอ) เผยว่า เนื่องจากภายในปี 2569 มีกฏจาก Global Sustainable Tourism Council หรือ GSTC ที่จะแบนแหล่งท่องเที่ยว หรือโรงแรมที่ไม่ได้ทำเรื่องความยั่งยืน เช่น การขายโรงแรมในแพลตฟอร์มออนไลน์ระดับโลก ก็จะเห็นเฉพาะโรงแรมที่ได้รับใบรับรองเรื่องความยั่งยืน เป็นต้น โดยจะเริ่มเห็นในยุโรปก่อน

จากนั้นมาตรการเหล่านี้ก็คงกระจายไปในภูมิภาคต่างๆ จึงอยากจะให้รัฐบาลให้ความสำคัญเรื่องการสนับสนุนภาคเอกชน อย่างโรงแรม สถานที่ท่องเที่ยว และซัพพลายเชนที่เกี่ยวข้อง ดำเนินการเรื่องความยั่งยืน โดยสนับสนุนให้สถาบันการเงินออกแพ็คเกจซอฟต์โลน เพื่อปล่อยกู้ให้โรงแรม หรือธุรกิจ นำเงินมาพัฒนาสถานประกอบการ เพื่อนำไปสู่ความยั่งยืน

อีกทั้งปัญหาสำคัญในขณะนี้ คือ การออกใบรับรองการดำเนินการของโรงแรมด้านความยั่งยืน หรือ Hotel Plus ที่ในขณะนี้กรมลดโลกร้อน เป็นเจ้าภาพในการออกใบรับรอง แต่ก็พบปัญหาว่ามีศักยภาพในการตรวจรับรองได้เพียงปีละ 60 โรงแรมเท่านั้น ขณะที่โรงแรมในไทยมีหลายหมื่นโรงแรม จึงอยากให้รัฐบาลเข้ามาแก้ปัญหานี้อย่างจริงจัง

คงปฏิเสธไม่ได้ว่ากติการักษ์โลกนี้น่าเป็นห่วงมากสำหรับธุรกิจโรงแรมในไทย ซึ่งเป็นหากเป็นโรงแรมเชน ทั้งเชนต่างประเทศและเชนไทย มีความเข้าใจในเรื่องนี้ดี และได้ทยอยดำเนินการไปแล้วต่อเนื่อง  สวนทางกับโรงแรมไทยในภาพรวมยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นของการก้าวสู่ความยั่งยืน

วัดผลได้จากจำนวนโรงแรมที่ได้รับมาตรฐานด้านความยั่งยืนในระดับสากลทั้งหมดในปี 2567 อยู่ที่ราว 100 แห่ง หรือมีสัดส่วนไม่ถึง 1% ของโรงแรมและที่พักในไทยทั้งหมด ทั้งยังกระจุกตัวอยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯ และภูเก็ต

อีกทั้งจากข้อมูลการประเมินการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของธุรกิจโรงแรมทั่วโลก จาก The Department for Environment, Food & Rural Affairs (DEFRA) ของสหราชอาณาจักร ยังพบว่า ในปี 2566 โรงแรมไทยยังปล่อยก๊าซเรือนกระจกในปริมาณที่ค่อนข้างสูงที่ 43.4 kgCO2e per occupied room เมื่อเทียบกับเมืองท่องเที่ยวสำคัญของโลกอย่างญี่ปุ่น สิงคโปร์ อิตาลี และฝรั่งเศส

สำหรับเหตุผลการก้าวเข้าสู่มาตรฐานด้านความยั่งยืนที่ล่าช้า เกิดจาก 3 ปัจจัยหลัก ได้แก่

1. ธุรกิจโรงแรมส่วนใหญ่ยังขาดความเข้าใจถึงประโยชน์ในระยะยาวของการเป็นโรงแรมยั่งยืน

2. ขาดความพร้อมในด้านเงินทุน บุคลากร ที่ปรึกษา และการเก็บข้อมูลด้านความยั่งยืนอย่างเป็นระบบเนื่องจากธุรกิจโรงแรมเพิ่งฟื้นตัวจากวิกฤตโควิด-19 ได้ไม่นาน

3.ขาดแรงกระตุ้นในการผลักดันให้ธุรกิจโรงแรมเปลี่ยนผ่านสู่ความยั่งยืนทั้งจากนโยบายของรัฐบาล และรัฐเองก็ยังปรับตัวไม่ทัน การออกนโยบายจึงกระชั้นชิด ซึ่งการออกใบรับรอง Hotel Plus ที่ล่าช้า และเพิ่งหาเจ้าภาพในการดำเนินการเรื่องนี้ได้ไม่นาน ก็สะท้อนเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดีว่าภาครัฐเองก็ตั้งรับไม่ทัน

นี่เองจึงทำให้โรงแรมไทยในภาพรวมยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นบนเส้นทางของความยั่งยืน ซึ่งต้องปลุกให้เกิดความตื่นตัว ไม่เช่นนั้นการมานั่งตามกฏกติกาในภายหลัง ย่อมเหนื่อยกว่าผู้ที่เตรียมรับมือไว้แล้ว แถมยังเสียโอกาสในการดำเนินธุรกิจที่จะเกิดขึ้นตามมาด้วย

หน้า 10 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจฉบับที่ 4,072 วันที่ 20 - 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568