กว่า 8 ปีที่ผ่านมาที่การประเมินด้านมาตรฐานด้านความปลอดภัยการบินระหว่างประเทศ ของประเทศไทย ถูกสำนักงานบริหารการบินแห่งสหรัฐอเมริกา (FAA) ลดอันดับจาก Category 1 ตกมาอยู่ Category 2 ซึ่งล่าสุดทาง FAA เตรียมจะเข้ามาตรวจประเมินอีกครั้ง ซึ่งการกลับเข้าสู่ Category 1 ถือเป็นเป้าหมายสำคัญ รวมถึงการปรับปรุงเงื่อนไขการประกอบธุรกิจการบินในหลายเรื่อง ของสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (CAAT) ที่จะขับเคลื่อนให้ไทยเป็นศูนย์กลางทางการบิน (ฮับการบิน)ในภูมิภาคนี้
พลอากาศเอก มนัท ชวนะประยูร ผู้อำนวยสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (CAAT) หรือ กพท.เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ”ว่าล่าสุด FAA มีกำหนดจะส่งทีมเข้ามาตรวจประเมินประเทศไทยในช่วงวันที่ 10-14 มีนาคม 2568 นี้ ซึ่งเป็นการตรวจประเมินที่สำคัญอย่างยิ่งต่อการยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยการบินของไทยจาก Category 2 กลับขึ้นมาสู่ Category 1
หากสามารถผ่านการตรวจประเมินได้ จะส่งผลดีต่อธุรกิจการบินของประเทศไทย โดยเฉพาะการขยายเส้นทางบินไปยังสหรัฐอเมริกา และการเพิ่มเที่ยวบินหรือเส้นทางบินประเทศที่กำหนดมาตรฐานตาม FAA เช่น เกาหลีใต้
ปัจจุบันไทยยังเหลือข้อบกพร่องด้านความปลอดภัยตามที่ FAA กำหนดให้ต้องแก้ไขอีก 36 ข้อ (finding) แบ่งเป็น 8 หัวข้อหลัก โดยมีประเด็นสำคัญ คือ การระบุให้ชัดเจนในกฎหมายว่า CAAT สามารถควบคุมกำกับดูแลด้านเทคนิคและความปลอดภัยได้ด้วยตัวเอง โดยที่ฝ่ายนโยบายไม่เข้ามาแทรกแซง
เรื่องนี้ทางฝ่ายนโยบายก็ไม่เคยเข้ามาแทรกแซงเรื่องความปลอดภัยในการกำกับดูแลธุรกิจการบินอยู่แล้ว แต่ FAA ต้องการให้ไทยเขียนให้กม.ให้ชัดเจนขึ้น ซึ่งก็มีการแก้ไขในเบื้องต้น โดยออกเป็นมติของคณะกรรมการการบินพลเรือน(กบร.)ได้แล้ว และในระยะยาวก็สามารถจะปรับแก้กฎหมายให้เป็นไปตามสากลได้
ส่วนข้อกังวลเรื่องอื่นจะเป็นเรื่องของมาตรฐานความปลอดภัยต่างๆ ซึ่งก็ดําเนินการแก้ไข โดยผมได้ระดมผู้ที่มีความรู้ความสามารถจากทุกภาคส่วนที่ทํางานด้านการบิน เข้ามาช่วยเจ้าหน้าที่ของ CAAT อีกแรงหนึ่งด้วย เพราะบุคคลากรของ CAAT คนมาจากหลายๆหน่วยงาน ซึ่งพนักงานบางคนก็อาจจะไม่ได้มาจากทางด้าน aviation โดยตรง เพื่อให้มาช่วยแนะนำให้เราแก้ปัญหาในจุดนี้ได้
โดยเรื่องความปลอดภัยที่ต้องแก้ไขหลักๆ เช่น FAA ต้องการให้ CAAT มีการกํากับดูแล ที่ผ่านการอบรมในหลักสูตรต่างๆ ซึ่งต้องมีใบรับรอง หรือวุฒิการศึกษา ตามที่กำหนด ซึ่งบางข้อก็ต้องใช้เวลาในการแก้ไข ซึ่งเราก็ดําเนินการแก้ไขปัญหาอยู่ การเข้ามาตรวจของ FAA ในครั้งนี้เราพยายามอย่างที่สุดที่จะให้ผ่านในครั้งนี้ให้ได้
“ผมได้ให้นโยบายเบื้องต้นกับผู้บริหารไปแล้วว่าเราจะไม่ใช้ลักษณะของการไปตรวจสอบหรือไปจับผิดผู้ประกอบการ แต่ว่าจะเป็นไปในลักษณะของการไปให้คําปรึกษาแล้วก็ช่วยเหลือเพื่อให้ได้มาตรฐานตามที่หน่วยงานสากลกําหนดมา แต่สิ่งที่สําคัญคือ จะต้องให้ผู้ประกอบการนั้นสามารถประกอบธุรกิจต่อไปได้ด้วย ในมุมมองก็คือจะต้องพึ่งพาอาศัยกันช่วยเหลือกัน”
ส่วนไทยจะถูกปรับเลื่อนอันดับจาก FAA ในการตรวจครั้งนี้หรือไม่ ขึ้นอยู่ว่า CAAT จะทําข้อสอบได้ดีแค่ไหน แล้วเราจะปิดข้อบกพร่องทั้งหมดได้ไหม แต่ก็มีความเป็นไปได้ที่ FAA จะไปตรวจเจอเรื่องอื่นที่เรายังไม่เห็น หรือเขาไม่เคยท้วงติงมาก่อน แต่ว่าผมได้ให้ทีมงานพยายามที่จะแก้ไขในทุกจุด แล้วก็กําหนดผู้ที่จะตอบคําถาม หรือว่ารับการตรวจอย่างเหมาะสม
ทั้งนี้คาดว่า 60 วันหลังการตรวจก็จะทราบผลว่าไทยจะผ่านหรือไม่ นอกจาก FAA แล้วองค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ หรือ ICAO ก็มีกำหนดการจะเข้ามาตรวจประเทศไทยในปลายเดือนสิงหาคมนี้ด้วย
นอกจากนี้ CAAT ยังมีภารกิจในการส่งเสริมให้ธุรกิจการบินของไทย เพื่อผลักดันเอวิเอชัน ฮับของไทย โดยจะมีการปรับปรุงกระบวนการออกใบอนุญาต และใบรับรองผู้ดำเนินการเดินอากาศให้สายการบินที่รวดเร็วขึ้น โดยมีแผนจะนำระบบ Fast Track มาใช้ ซึ่งผู้ประกอบการสามารถจ่ายค่าบริการเพิ่ม เพื่อให้ได้รับบริการที่เร็วขึ้น โดยค่าใช้จ่ายดังกล่าวจะนำไปเป็นค่าตอบแทนให้กับเจ้าหน้าที่ที่ต้องทำงานล่วงเวลา ซึ่งจะทำให้การจัดตั้งสายการบินใหม่ดำเนินการได้รวดเร็วขึ้น
หรือแม้แต่การดำเนินการเรื่องอื่น เช่น การเปลี่ยนสัญชาติเครื่องบินจากต่างชาติมาเป็นไทยซึ่งปัจจุบันใช้เวลา 72 วันทำการ อาจจะลดเหลือ 60 วัน หรือ 30 วัน โดยมีค่าใช้จ่าย Fast Track ตามระยะเวลาที่ต้องการ อีกทั้งยังมีแนวคิดปรับเวลาทำงานของเจ้าหน้าที่ให้สอดคล้องกับธุรกิจการบินที่ดำเนินการตลอด 24 ชั่วโมง โดยอาจจัดเป็นผลัดละ 8 ชั่วโมง เพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้ประกอบการหรือรับมือหากเกิดปัญหาที่ต้องการบริการนอกเวลาทำการปกติ
รวมไปถึงการทบทวนข้อกำหนดอายุเครื่องบินในการนำเครื่องบินเข้ามาประกอบธุรกิจ จากปัจจุบันที่กำหนดไว้ว่าต้องมีอายุไม่เกิน 16 ปี การทบทวนข้อกำหนดนี้จะช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถจัดหาเครื่องบินมาดำเนินกิจการได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะในช่วงหลังโควิด-19 ที่ธุรกิจการบินกลับมาเติบโต และการสั่งซื้อเครื่องบินใหม่ต้องรอคิวเป็นเวลานาน
โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษาความเหมาะสม เพราะความปลอดภัยของเครื่องบินไม่ได้ขึ้นอยู่กับอายุ แต่ขึ้นอยู่กับมาตรฐานความปลอดภัยหรือความพร้อมในการบิน (Airworthiness) และประวัติการซ่อมบำรุงของเครื่องบินลำนั้นๆ ดังนั้นการตรวจสอบมาตรฐานและประวัติการซ่อมบำรุงเครื่องบิน น่าจะเป็นปัจจัยสำคัญในการประกอบธุรกิจเป็นหลัก ไม่ใช่ดูที่อายุของเครื่องบิน
อีกทั้ง CAAT ยังจะส่งเสริมธุรกิจขนส่งสินค้าทางอากาศ (Air Cargo) ในไทยมากขึ้น เพราะปัจจุบันมีผู้ประกอบการแอร์ คาร์โก้ สัญชาติไทยน้อยมาก CAAT จึงมีแนวคิดที่จะพิจารณาทบทวนข้อกำหนดเรื่องสัดส่วนการถือหุ้นของคนไทยที่ปัจจุบันกำหนดไว้ที่ 51% ซึ่งเห็นควรว่าน่าจะลดสัดส่วนการถือหุ้นลง หรือการผ่อนปรนข้อกำหนดลง
ทั้งนี้เพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการไทยสามารถระดมทุนและจัดตั้งสายการบินขนส่งสินค้าได้ง่ายขึ้น และอาจเป็นจุดเริ่มต้นให้ในอนาคตเมื่อเติบโตแล้ว สามารถเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นของคนไทยจนกลายเป็นบริษัทสัญชาติไทยอย่างเต็มตัวมุ่งสู่การเป็นศูนย์กลางการบินในภูมิภาค
“การที่เรากำหนดให้คนที่จะตั้งสายการบินแอร์ คาร์โก้ ต้องมีสัญชาติไทยถือหุ้นมากกว่า 50% ไม่งั้นไม่ได้ เลยกลายเป็นว่าวันนี้มีบริษัทแอร์คาร์โก้ ของต่างชาติ 100% เข้ามาขนส่งสินค้าในสนามบินสุวรรณภูมิมากมาย ผมมองว่ามันย้อนแย้งกัน ซึ่งถ้าเกิดว่าเราสามารถแก้กฏหมายในข้อนี้ หรือผ่อนปรนในข้อนี้ได้ให้บริษัทที่มีคนไทยอยู่ หรือทํางานได้อาจจะลดเปอร์เซ็นต์ในการถือหุ้นลงมา
แต่ก็ต้องไปศึกษาว่าจะลดลงมาได้เท่าไหร่จึงเหมาะสม ให้เขาสามารถจะรวบรวมทุนและจัดตั้งสายการบินขนส่งสินค้าได้ มันก็จะเป็นประโยชน์ เมื่อเขาโตขึ้นเขาก็อาจจะซื้อซื้อหุ้นเพิ่มขึ้น แล้วก็กลายเป็นสุดท้ายก็เป็นบริษัทสัญชาติไทย ไม่ใช่มีแต่ต่างชาติที่ทำได้ ทำให้เราไม่ได้เลย”
พลอากาศเอก มนัท ยังกล่าวต่อว่า ผมยังมองถึงการผลักดันศูนย์ซ่อมอากาศยาน (Maintenance, Repair and Overhaul-MRO) ที่สนามบินสุวรรณภูมิ เนื่องจากก่อนหน้านี้ผมได้รับมอบหมายให้เป็นประธานในเรื่องของ เอวิเอชั่น ฮับ ซึ่งการทำ MRO ก็เป็นส่วนหนึ่งของเอวิเอชัน ฮับ โดยจะมีการทำแผนแม่บทในเรื่องนี้ก่อน ซึ่งศูนย์ MRO จะไม่จำกัดเฉพาะการซ่อมเครื่องบิน แต่รวมถึงการพัฒนาบุคลากรทางด้านการบินด้วย เช่น ศูนย์ฝึกจำลองการบิน (Simulator) สำหรับนักบิน ลูกเรือ และช่างซ่อมบำรุง
ที่ผ่านมาผมได้ชักชวนทั้งผู้ประกอบการในประเทศและต่างประเทศ เช่น โบอิ้ง เอเอ็นเอของญี่ปุ่น และสิงคโปร์แอร์ไลน์ ก็ได้ชักชวนให้มาร่วมลงทุน ซึ่งทางสิงคโปร์ก็สนใจ และจะมีผู้ประกอบการไทยที่สนใจด้วย ซึ่งเป็นลักษณะรัฐร่วมลงทุนกับเอกชน หรือ PPP ของบริษัทท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน)หรือ AOT เพื่อจะทำให้เครื่องบินที่ทำการบินเข้าไทย มีทางเลือกในการซ่อมบำรุงอากาศยาน
ปัจจุบันสนามบินสุวรรณภูมิเปิดดำเนินการมาแล้ว 19 ปี แต่ยังขาดศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยานที่ครบวงจร การมีศูนย์ซ่อมก็จะเป็นองค์ประกอบหนึ่งในการขับเคลื่อนความเป็นเอวิเอชั่นฮับได้