สวนกระแส อัตราเกิดต่ำ-ตลาดสินค้าเด็กโต TINY NOSE ปักหมุดขยายตลาด

19 มี.ค. 2568 | 15:34 น.
อัปเดตล่าสุด :19 มี.ค. 2568 | 16:13 น.

เด็กเกิดน้อย แต่ยอดขายพุ่ง! พ่อแม่ยุคใหม่ใจป้ำ ทุ่มซื้อสินค้าให้ลูก “TINY NOSE” บุกตลาด ชูทิชชู่เปียกเรือธง ตั้งเป้าผู้นำตลาด ENT ภายใน 5 ปี

ท่ามกลางอัตราการเกิดที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง ตลาดสินค้าสำหรับเด็กกลับมีการเติบโตที่น่าสนใจ โดย “TINY NOSE” แบรนด์สินค้าเด็กที่ดำเนินธุรกิจมากว่า 10 ปี ได้วางแผนธุรกิจปี 2568 ด้วยงบลงทุนสูงสุดในรอบ 10 ปีถึง 10 ล้านบาท เพื่อขยายตลาดและก้าวสู่การเป็นผู้นำในกลุ่มสินค้า ENT (หู คอ จมูก)

สวนกระแส อัตราเกิดต่ำ-ตลาดสินค้าเด็กโต TINY NOSE ปักหมุดขยายตลาด

ซึ่งขนาดตลาดการรักษาหู คอ จมูก (ENT) ทั่วโลกมีมูลค่า 18.90 พันล้านเหรียญสหรัฐในปี 2567 และคาดว่าจะเกิน 33.43 พันล้านเหรียญสหรัฐภายในปี 2577 โดยเติบโตที่อัตรา CAGR 5.87% ตั้งแต่ปี 2568 ถึง 2577 ระหว่างมี การเติบโตของตลาดนี้ขับเคลื่อนโดยอุบัติการณ์ที่เพิ่มขึ้น

ภาพรวมตลาดสินค้าเด็ก อัตราเกิดต่ำ แต่ยอดจับจ่ายสูง

นายวรวิทย์ วงศ์ศรีรุ่งเรือง Director บริษัท เฌอร์คุณฎา จำกัด ผู้ผลิตผลิตภัณฑ์เด็กภายใต้แบรนด์ “TINY NOSE” กล่าวว่า แม้ว่าอัตราการเกิดของเด็กไทยจะลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2567 มีเด็กเกิดเพียง 461,421 คน ซึ่งเป็นครั้งแรกในรอบ 70 ปีที่ต่ำกว่า 5 แสนคนต่อปี แต่ยอดการจับจ่ายสินค้าสำหรับเด็กกลับเพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากพ่อแม่ยุคใหม่มีกำลังซื้อและให้ความสำคัญกับคุณภาพสินค้ามากขึ้น โดย 10 ปีที่ผ่านมา ยอดการใช้จ่ายสินค้าเด็กเพิ่มขึ้นถึง 30%

สวนกระแส อัตราเกิดต่ำ-ตลาดสินค้าเด็กโต TINY NOSE ปักหมุดขยายตลาด

TINY NOSE เริ่มต้นจากการเป็นผู้ผลิตผ้าเปียกน้ำเกลือรายแรกของไทย ซึ่งช่วยเพิ่มความสะดวกในการทำความสะอาดจมูก ใบหน้า และร่างกายเด็ก โดยปัจจุบัน TINY NOSE มีไลน์สินค้า 2 ชนิด ได้แก่ทิชชู่เปียก ถือเป็นสินค้าเรือธงที่สร้างชื่อเสียงให้กับแบรนด์มาตลอด 10 ปี โดยมีส่วนแบ่งตลาด 80% จากยอดขายรวม และมีแผนขยายตลาดสู่กลุ่มผู้ใหญ่มากขึ้นเพิ่มอัตตราการเติบโตอย่างยั่งยืน

อีกสินค้าดาวรุ่งตัวใหม่อย่าง สเปรย์น้ำเกลือ สินค้าที่ได้รับความนิยมในช่วงโควิด-19 และมีศักยภาพในการเติบโต โดยตั้งเป้ายอดขายปีนี้ 140,000 ขวด จากยอดขายต้นปี 50,000 ขวด โดยปี 2568 วางแผนเปิดตัวสินค้าใหม่อีกใหม่ 6 SKU ในกลุ่มเครื่องมือแพทย์ และ 2 SKU สำหรับผู้สูงอายุ โดยเน้นสินค้าที่เกี่ยวข้องกับ ENT โดยเฉพาะช่องปากและลำคอ ชูจุดเด่นสินค้าผลิตในเมืองไทยเพื่อสร้างเศรษฐกิจหมุนเวียนในประเทศและลดการปนเปื้อนระหว่างขนส่ง

ช่องทางการจัดจำหน่าย ออนไลน์สู่ร้านขายยา

TINY NOSE เน้นช่องทางการขายออนไลน์เป็นหลัก โดยยอดขายจากออนไลน์แบ่งเป็นมาเก็ตเพรส และไดเรกเซลจากเว็บไซต์แบรนด์โดยตรง โดยมีสัดส่วน 60:40 และมีแผนขยายสู่ร้านขายยาในเดือนเมษายน 2568 เพื่อเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้กว้างขวางยิ่งขึ้น

ทั้งนี้ตั้งเป้าผู้นำตลาดสินค้า ENT ภายใน 5 ปีเพิ่มยอดขายปี 2568 เป็น 45 ล้านบาท จาก 20 ล้านบาทในปีที่ผ่านมา โดยแบ่งเป็นยอดขายจากทิชชู่เปียกและสเปรย์น้ำเกลืออย่างละ 50% เพิ่มส่วนแบ่งตลาดในกลุ่มน้ำเกลือจาก 10% เป็นผู้นำในตลาด โดยตลาดน้ำเกลือมีมูลค่าประมาณ 6,000 ล้านบาท มั่นใจว่า ด้วยแผนธุรกิจที่แข็งแกร่งและคุณภาพสินค้าที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า จะทำให้แบรนด์ก้าวสู่การเป็นผู้นำในตลาดสินค้าเด็กและ ENT ได้อย่างแน่นอน นายวรวิทย์ กล่าวเสริม

สวนกระแส อัตราเกิดต่ำ-ตลาดสินค้าเด็กโต TINY NOSE ปักหมุดขยายตลาด

ทางด้านนายวรวิทย์ กล่าวเพิ่มเติมถึงแผนการตลาดว่า Salinex Mist Baby ได้สร้างความแตกต่างด้วย   กลยุทธ์ Character Marketing โดยเป็นแบรนด์ไทยรายแรกที่นำคาแรกเตอร์ขวัญใจเด็กทั่วโลกจากแอนิเมชันเรื่อง Cocomelon มาโลดแล่นบนบรรจุภัณฑ์ 3 ดีไซน์ เป็นสเปเชียลเอดิชัน เพื่อสร้างการจดจำ เข้าถึงง่าย เสริมภาพลักษณ์ที่สดใส น่ารัก และมีความสากล รวมทั้งสร้างความผูกพันระหว่างแบรนด์กับเด็กผ่านตัวละครที่เด็กชื่นชอบ พร้อมรุกตลาดผ่านช่องทางจำหน่ายที่หลากหลาย ทั้งห้างสรรพสินค้า     ชั้นนำ ร้านขายยา และช่องทางออนไลน์ อาทิ  เฟซบุ๊ก อินสตาแกรม ช้อปปี้ และติ๊กต๊อก

"สถานการณ์ฝุ่น PM 2.5 ประกอบกับเทรนด์การใส่ใจสุขภาพที่เพิ่มขึ้นหลังวิกฤตโควิด-19 ส่งผลให้ตลาดผลิตภัณฑ์สเปรย์น้ำเกลือพ่นจมูกในประเทศไทยมีมูลค่าสูงถึง 120 ล้านบาท เติบโต 5-7% ต่อปี และมีแนวโน้มที่จะเติบโตอย่างต่อเนื่อง เราจึงตั้งเป้าหมายยอดขาย Salinex Mist Baby ในปี 2568 ไว้ที่ 120,000 - 140,000 ขวด หลังจากการเปิดตัวสเปรย์น้ำเกลือพ่นจมูกแล้ว เรายังคงมุ่งมั่นที่จะพัฒนาและยกระดับผลิตภัณฑ์สำหรับเด็กให้มีคุณภาพอย่างต่อเนื่อง เพื่อก้าวสู่การเป็นผู้นำอันดับ 1 ในกลุ่มผลิตภัณฑ์เด็กที่คุณพ่อคุณแม่ยุคใหม่วางใจ” นายวรวิทย์ กล่าว