ช็อกโกแลตดูไบ ฮิต 'เอพริล เบเกอรี่' เร่งผลิต ดันยอดขายสู่ 1,000 ล้าน

​นางกนกกัญจน์ มธุรพร ประธานกรรมการผู้จัดการ บริษัท สิงหาฟู้ดส์ อินดัสทรีส์ (ประเทศไทย) จำกัด หรือที่รู้จักในนามแบรนด์ "เอพริล เบเกอรี่" กล่าวว่า ภาพรวมตลาดเบเกอรี่ในประเทศไทยมีมูลค่าราว 6 หมื่นล้านบาท โดยปัจจัยสนับสนุนหลักมาจากความนิยมในการบริโภคของหวานของผู้บริโภค ซึ่งช่วยเพิ่มพลังงานและความสดชื่น

อย่างไรก็ตาม ปัจจัยที่เป็นอุปสรรคต่อการเติบโตของธุรกิจคือ ต้นทุนวัตถุดิบที่ปรับตัวสูงขึ้น เช่น ราคาน้ำตาลและช็อกโกแลตที่เพิ่มขึ้นถึง 400% รวมถึงการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็น 400 บาท

ในปี 2567 ที่ผ่านมา เอพริล เบเกอรี่ ได้ร่วมมือกับร้านสะดวกซื้อเซเว่น อีเลฟเว่น มาเป็นเวลา 5 ปี แล้ว โดยในช่วงต้นปีพบว่ายอดขายลดลงเนื่องจากกำลังซื้อของผู้บริโภคลดลง แต่ในช่วงปลายปี ยอดขายกลับมาฟื้นตัวจากการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ "ช็อกโกแลตดูไบ" ในเดือนธันวาคม​

ปกติแล้ว บริษัทผลิตสินค้าให้เซเว่นฯ ราว 5-7หมื่นชิ้นต่อวัน แต่เมื่อช็อกโกแลตดูไบกลายเป็นกระแสในสื่อสังคมออนไลน์ ทำให้ทางเซเว่นฯ ต้องการสินค้าดังกล่าวเพิ่มขึ้นเป็น 2.6 แสนชิ้นต่อวัน อย่างไรก็ตาม บริษัทสามารถผลิต ช็อกโกแลตดูไบได้เพียง 7 หมื่นชิ้นต่อวัน ส่งผลให้ยอดขายรวมของบริษัทเกือบ 700 ล้านบาท เติบโตขึ้น 11%

ปัจจุบัน เอพริล เบเกอรี่ มีสาขาทั้งหมด 1,400 แห่งทั่วประเทศ โดยจำหน่ายผ่านเซเว่น อีเลฟเว่น 80% หน้าร้านของตนเอง 15% และช่องทางออนไลน์ 5% บริษัทมีพนักงานทั้งหมด 1,200 คน และได้ลงทุนสร้างโรงงานใหม่มูลค่า 50 ล้านบาท ลงทุนในเครื่องจักร 20 ล้านบาท และต่อเติมโรงงานอีก 30 ล้านบาท​ ในปีที่ผ่านมา

ซึ่งบริษัทส่งขนมให้เซเว่นฯ ทั้งหมด 18 SKU โดยสินค้ายอดนิยมอันดับ 1 คือ ช็อกโกแลตดูไบ อันดับ 2 เปียลาวาไข่เค็ม และอันดับ 3 เค้กทุบ

สำหรับแผนธุรกิจในปี 2568 บริษัทกำลังศึกษาโอกาสในการจำหน่ายสินค้าในห้างสรรพสินค้าคอสต์โก (Costco) ในสหรัฐอเมริกา เป็นห้างค้าปลีกรายใหญ่ในสหรัฐอเมริกา ที่มีชื่อเสียงในด้านการจำหน่ายสินค้าคุณภาพในราคาที่คุ้มค่า การขยายตลาดไปยังคอสต์โกจะช่วยเพิ่มการเข้าถึงผู้บริโภคในตลาดสหรัฐฯ และเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับแบรนด์เอพริล เบเกอรี่ในระดับสากล

ปัจจุบันบริษัทเติบโตและขยายสาขาไปทั่วประเทศกว่า​ 40​ สาขา​ เช่น กัมพูชา เวียดนาม และลาว เป็นต้น  โดยตั้งเป้าเติบโตต่อเนื่อง​ 20% ต่อปี​ และคาดกวาดรายได้ทะลุ​ 1,000 ล้านบาทในปี​ 2570 

นอกจากนี้ ยังมีการออกบูธแนะนำสินค้าในงาน Trade Fair ต่าง ๆ​ พร้อมเตรียมส่งออกขนมเปี๊ยะในรูปแบบแช่แข็งไปจำหน่ายเพื่อทดลองตลาดต่างประเทศ อาทิ สิงคโปร์ ฮ่องกง และเตรียมพัฒนาสินค้าให้ได้รับการรับรองมาตรฐานฮาลาล, ISO, และ BRC (The British Retail Consortium)

หรือสมาคมผู้ประกอบธุรกิจค้าปลีกแห่งสหราชอาณาจักร ซึ่งเป็นมาตรฐานความปลอดภัยทางอาหาร (food safety) ที่เกิดจากการรวมกลุ่มขององค์กรค้าปลีกขนาดใหญ่ เพื่อเจาะกลุ่มลูกค้าใหม่ ๆ ได้มากขึ้น

กลยุทธ์ในปีนี้จะเน้นการจับสินค้าที่เป็นแฟชั่น และทำตลาดทั้งออนไลน์และออฟไลน์ ปัจจุบันบริษัทมีโรงงานทั้งหมด 9 แห่ง บนพื้นที่ 4 ไร่ หากโรงงานที่ 9 เสร็จสมบูรณ์ จะสามารถผลิตขนมได้ 300,000 ชิ้นต่อวัน​

ถ้าความนิยมของช็อกโกแลตดูไบลดลง บริษัทมีแผนที่จะดันสินค้าช็อกโกแลตตัวอื่นขึ้นมา นอกจากนี้ราคาช็อกโกแลตเพิ่มขึ้น 400% บริษัทได้เริ่มปลูกโกโก้เองบนพื้นที่ 10 ไร่ ที่จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อสร้างความยั่งยืนและเรื่องราวให้กับผลิตภัณฑ์ ช็อกโกแลตดูไบบริษัทมุ่งหวังที่จะเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านช็อกโกแลตในอนาคต​