เปิดแผน “บิ๊กโคล่า” สปีดขึ้น Top 3 ตลาดน้ำอัดลม 6.2 หมื่นล้าน

02 มี.ค. 2568 | 05:00 น.

“บิ๊กโคล่า” คัมแบ็คทวงบัลลังก์ตลาดน้ำอัดลม 6.2 หมื่นล้าน ตั้งเป้าขึ้น Top 3 ใน 3 ปี ทุ่มกว่า 100 ล้านจัดหนักกลยุทธ์ “สปอนเซอร์ชิป มาร์เก็ตติ้ง” เซ็นสัญญา Official Regional Partner “แมนเชสเตอร์ ซิตี้” ต่อยอดการตลาดครบวงจร มั่นใจสิ้นปีกวาดรายได้ทะลุ 4,500 ล้านบาท

นายชนินทร์ เทียนเจริญ ผู้จัดการฝ่ายการตลาด บริษัท อาเจ ไทย จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายเครื่องดื่ม “บิ๊กโคล่า” เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า อาเจ กรุ๊ป บริษัทแม่ของบิ๊กโคล่า ให้ความสำคัญกับประเทศไทยมาก และมุ่งมั่นที่จะรุกทำตลาดเครื่องดื่มน้ำอัดลมในประเทศไทยอีกครั้ง หลังจากที่ชะลอการทำตลาดในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ซึ่งปัจจุบันอาเจ กรุ๊ปมีผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย โดยเฉพาะในตลาดเครื่องดื่มน้ำอัดลม ซึ่งแบรนด์บิ๊กโคล่า ถือเป็นแบรนด์ที่คนไทยคุ้นเคย และให้ความนิยมอย่างแพร่หลาย

อีกทั้งบริษัทเองให้ความสำคัญในเรื่องของรสชาติและบรรจุภัณฑ์ เพื่อให้สามารถแข่งขันในตลาดที่มีการแข่งขันสูงได้ นอกจากนี้บริษัทยังมุ่งเน้นการสร้างแบรนด์ที่เข้มแข็งและการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายผ่านกลยุทธ์การสื่อสารที่ทันสมัย การกลับมาของอาเจ ไทย เพราะมองเห็นถึงศักยภาพของแบรนด์บิ๊กโคล่า และความต้องการของผู้บริโภคคนไทย ทำให้เชื่อมั่นว่าจะสามารถครองส่วนแบ่งในตลาดเครื่องดื่มน้ำอัดลมได้อย่างแข็งแรง

ด้านนาย ฮวน โฆเซ่ โลเปซ เวอการ่า กรรมการผู้จัดการ บริษัท อาเจไทย จำกัด กล่าวว่า ประเทศไทยเป็นตลาดที่มีศักยภาพและบริษัทแม่ อาเจ กรุ๊ปให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก โดยไทยถือเป็นประเทศแรกที่บริษัทขยายการลงทุนนอกละตินอเมริกา และประสบความสำเร็จสูงกว่าเป้าหมายที่วางไว้ เมื่อเริ่มทำการตลาดในการเปิดตัว “บิ๊กโคล่า” ได้รับความนิยมจากผู้บริโภคคนไทยเป็นอย่างมาก ส่งผลให้สามารถแย่งชิงส่วนแบ่งการตลาดของไทยได้ อย่างไรก็ดีอาเจ กรุ๊ป ให้ความสำคัญกับการพัฒนานวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง โดยได้ลงทุนเพื่อขยายธุรกิจในประเทศไทยมาอย่างต่อเนื่อง

เปิดแผน “บิ๊กโคล่า” สปีดขึ้น Top 3 ตลาดน้ำอัดลม 6.2 หมื่นล้าน เพื่อตอกย้ำความเป็นโกลบอล แบรนด์อย่างแท้จริง บริษัทจึงได้เซ็นสัญญา เป็น Official Regional Partner กับสโมสรฟุตบอล “แมนเชสเตอร์ ซิตี้” สโมสรแรกที่ได้แชมป์พรีเมียร์ลีก 4 ฤดูกาลติดต่อกัน โดยมีระยะเวลาสัญญา 2 ปี ในการนำตราสัญลักษณ์สโมสร (CREST) นักฟุตบอล และสิทธิประโยชน์อื่นๆ มาทำกิจกรรมการตลาด ซึ่งกีฬาฟุตบอลถือเป็นกีฬาที่คนไทยให้ความนิยมอันดับ 1 โดยเฉพาะฟุตบอลพรีเมียร์ลีก ประเทศอังกฤษ ซึ่งเป็นลีกระดับโลกที่คนไทยชื่นชอบเป็นอันดับ 1 เช่นกัน ทำให้เชื่อมั่นว่า จะสามารถสร้างให้แบรนด์บิ๊กโคล่า กลับมาแข็งแรง และขยายฐานลูกค้าคนรุ่นใหม่ ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายเดียวกับแมนฯซิตี้ ที่ต้องการขยายฐานแฟนคลับ โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ในอาเซียนให้มากขึ้นด้วย

โดยในปีนี้บิ๊กโคล่าเตรียมใช้งบการตลาดกว่า 100 ล้านบาท สำหรับรุกทำตลาดภายใต้กลยุทธ์ Sponsorship Marketing โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างการรับรู้ต่อแบรนด์และกลับมาสร้างตลาดให้คึกคักขึ้น โดยการเป็น Official Regional Partner กับ สโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในครั้งนี้ ถือเป็นก้าวย่างสำคัญในการกลับมาทวงส่วนแบ่งตลาดในตลาดเครื่องดื่มน้ำอัดลมเมืองไทย

นายชนินทร์ กล่าวอีกว่า การกลับมาครั้งนี้บิ๊กโคล่าเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี ด้วยจุดแข็งที่มีผนวกกับการทำการตลาดรูปแบบใหม่ๆ โดยมีกลยุทธ์ Sponsorship Marketing เป็นกลยุทธ์หลักในการทำตลาด โดยตั้งเป้าหมายที่จะมียอดขายรวม 4,500 ล้านบาทในปีนี้ เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มียอดขาย 3,600 ล้านบาท

“เริ่มตั้งแต่วันนี้ ซัมเมอร์นี้จะเห็นบิ๊กโคล่า ที่มาพร้อมแคมเปญต่างๆ แบบครบวงจร รวมทั้งการเปิดตัวเครื่องดื่มใหม่ บรรจุภัณฑ์ใหม่ อีเว้นท์มาร์เก็ตติ้ง และโปรโมชั่นแบบครบวงจร รวมทั้งการขยายช่องทางการจำหน่ายทั้งในช่องทางโมเดิร์นเทรด และเทรดดิชั่นนอลเทรด การจัดกิจกรรมในทุกช่องทาง และปรับรูปแบบการสื่อสารใหม่เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายวัยรุ่น Gen Y และ Gen Z มากขึ้น และยังครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายในวงกว้าง

ต้องยอมรับว่าปัจจุบันพฤติกรรมการบริโภคเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เช่นเดียวกับการแข่งขันที่ดุเดือดในตลาดน้ำอัดลม ทำให้บริษัทต้องปรับตัวอย่างรวดเร็ว มีการสร้างทีมการตลาดดิจิทัลขึ้นใหม่และการผลิตสื่อโฆษณาในรูปแบบต่างๆ เพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งมองว่าตลาดเครื่องดื่มในประเทศไทยยังมีโอกาสเติบโต และการกลับมารุกตลาดในครั้งนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นของการฟื้นฟูแบรนด์และการสร้างความตื่นเต้นให้กับคนไทยได้อย่างแน่นอน”

สำหรับตลาดเครื่องดื่มน้ำอัดลมในไทย ในปีที่ผ่านมามีมูลค่ารวมกว่า 6.2 หมื่นล้านบาท เติบโต 3% โดยการแข่งขันที่รุนแรงในตลาดทำให้ทุกแบรนด์ต้องปรับตัว และรุกทำตลาดต่อเนื่อง ขณะที่บิ๊กโคล่า มีส่วนแบ่งตลาดราว 5% อยู่ในอันดับ 4 ซึ่งการกลับมาครั้งนี้บริษัทตั้งเป้าหมายที่ก้าวขึ้นมาอยู่อันดับ 3 หรือมีส่วนแบ่งตลาด 10% ภายใน 3 ปีนับจากนี้ นอกจากนี้ในปีที่ผ่านมาบริษัทได้ลงทุนตั้งโรงงานผลิตผลิตภัณฑ์ของใช้ภายในบ้าน (Homecare) ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ซักผ้า และน้ำยาปรับผ้านุ่ม ภายใต้แบรนด์ “เดสท์” (Dest) เพื่อทดลองทำตลาดในประเทศด้วย