ปิดฉาก Easy E-Receipt 2.0 ปลุกยอดช้อปห้าง/อีคอมเมิร์ซพุ่ง

13 มี.ค. 2568 | 12:10 น.
อัปเดตล่าสุด :13 มี.ค. 2568 | 20:05 น.

Easy E-Receipt 2.0 “ค้าปลีก-อีคอมเมิร์ซ” กวาดยอดขายสนั่น “ร้านอาหาร” หรูรับทรัพย์ แต่ร้านระดับกลาง-ล่างไร้ผลบวก แนะรัฐทบทวนมาตรการกระจายให้ทั่วถึง

มาตรการ “Easy E-Receipt 2.0” เป็นหนึ่งในมาตรการภาษีที่รัฐบาลส่งออกมากระตุ้นการบริโภคในประเทศและส่งเสริมเศรษฐกิจไทยในช่วงต้นปี 2568 ด้วยการให้ผู้เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา นำค่าใช้จ่ายจากการซื้อสินค้าและบริการในประเทศมาลดหย่อนภาษีได้สูงสุดไม่เกิน 5 หมื่นบาท

ระหว่างวันที่ 16 ม.ค.- 28 ก.พ. 68 โดยคาดว่ามาตรการนี้จะช่วยให้เกิดเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจราว 7 หมื่นล้านบาท ซึ่งแม้วันนี้จะยังไม่มีบทสรุปถึงผลที่ได้รับ แต่ภาคเอกชนก็มีเสียงทั้งตอบรับที่ดีและต้องปรับปรุง

 

ปิดฉาก Easy E-Receipt 2.0 ปลุกยอดช้อปห้าง/อีคอมเมิร์ซพุ่ง

 

นายรัชตะ สุทธาพัฒน์ธานนท์ ผู้อำนวยการใหญ่อาวุโส กลุ่มบริหารสินค้า บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป จำกัด เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า แม้มาตรการ Easy E-Receipt ในปีนี้จะมีวงเงินในการซื้อสินค้าและบริการตลอดจนระยะเวลาในการใช้จ่ายลดลงเมื่อเทียบกับปีก่อน ทำให้การจับจ่ายใช้สอยของลูกค้าอาจมีข้อจำกัดในแง่ของจำนวนวงเงินและระยะเวลาในการจับจ่ายสินค้าและบริการเพื่อใช้สิทธิในการลดหย่อนภาษีบ้างไม่มากก็น้อย

แต่ภาพรวมยอดขายของ เพาเวอร์ มอลล์ ในช่วงระยะเวลาของมาตรการ Easy E-Receipt มียอดขายเพิ่มขึ้น 10-15% ทั้งนี้อยากให้ภาครัฐพิจารณาเพิ่มวงเงินสนับสนุนและขยายระยะเวลาโครงการ เพื่อส่งเสริมและกระตุ้นการจับจ่ายของลูกค้ามากขึ้น ซึ่งจะทำให้เกิดการหมุนเวียนของเม็ดเงินต่อเศรษฐกิจในภาพรวม

ขณะที่นางสาววรลักษณ์ ตุลาภรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มการตลาด บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป จำกัด กล่าวว่า มาตรการ Easy E-Receipt 2.0 ที่จบไปแล้วนั้นเบื้องต้นประเมินว่า สามารถกระตุ้นยอดขายสินค้าได้เพิ่มขึ้น 30% โดยมีปัจจัยหนุนจากเทศกาลตรุษจีน วาเลนไทน์ เข้ามาเสริมให้มีความต้องการ สินค้า บริการเพิ่มขึ้น

ทั้งนี้กลุ่มเดอะมอลล์ กรุ๊ป ได้อัดฉีดงบประมาณอีก 300 ล้านบาท จัดแคมเปญช่วงซัมเมอร์ในเดือนมี.ค - เม.ย.นี้ เพื่อกระตุ้นการจับจ่าย เพื่อสร้างรายได้ช่วยเหลือผู้ประกอบการ และเพิ่มความคุ้มค่าในการจับจ่ายของลูกค้ามากขึ้น

ด้าน ดร.ณัฐกิตติ์ ตั้งพูลสินธนา กรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการตลาด บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือ CPN กล่าวว่า มาตรการ Easy E-Receipt 2.0 ได้รับการตอบรับที่ดีในช่วงไตรมาส 1 โดยศูนย์การค้าเซ็นทรัล 41 สาขาทั่วประเทศได้จัดโปรโมชั่นและแคมเปญพิเศษเพื่อกระตุ้นการจับจ่าย คาดว่าแคมเปญนี้จะกระตุ้นยอดขายเพิ่มขึ้นประมาณ 10-15% หลังจบโครงการย้ำยอดขายโตตามเป้า

ดร.ณัฐกิตติ์ ตั้งพูลสินธนา

“Easy e-Receipt 2.0 ถือว่าสามารถกระตุ้นกำลังซื้อได้ดีเช่นเดิม ยิ่งมาตรการเข้ามาในช่วงไตรมาสแรกของปี และลากยาวมาในช่วงตรุษจีน ซึ่งคนไทยเชื้อสายจีนจะออกมาจับจ่ายกัน สามารถสร้างเม็ดเงินสะพัดได้ตามเป้า”

นางฐนิวรรณ กุลมงคล นายกสมาคมภัตตาคารไทย กล่าวว่า ผลตอบรับจากมาตรการนี้ไม่ได้ส่งผลกระตุ้นธุรกิจร้านอาหารโดยรวมอย่างที่คาดหวังไว้ แม้ว่ามาตรการดังกล่าวจะเปิดโอกาสให้ประชาชนสามารถใช้สิทธิ์ลดหย่อนภาษีจากค่าใช้จ่ายในร้านอาหารได้สูงสุด 3 หมื่นบาท แต่ในทางปฏิบัติ ผู้บริโภคที่สามารถใช้สิทธิ์ได้เต็มจำนวนส่วนใหญ่กลับเป็นกลุ่มที่มีรายได้สูง เนื่องจากเงื่อนไขการลดหย่อนภาษีหมายความว่าผู้ที่ได้รับประโยชน์จะต้องมีค่าใช้จ่ายในร้านอาหารเป็นจำนวนมาก

ส่วนร้านอาหารระดับกลางที่มีค่าใช้จ่ายต่อหัวอยู่ที่ 300-500 บาทไม่ได้รับผลประโยชน์จากมาตรการนี้มากนัก ในขณะที่ร้านอาหารที่มีฐานลูกค้ากำลังซื้อสูง เช่น ร้านอาหารในห้างสรรพสินค้า ร้านอาหารโรงแรม และร้านอาหารหรู กลับได้รับผลดีมากกว่า

ฐนิวรรณ กุลมงคล

“ร้านอาหารในห้างอาจจะได้รับผลดีอยู่บ้าง เพราะลูกค้าที่ไปช้อปปิ้งสินค้าราคาสูง เช่น กระเป๋าแบรนด์เนม หรือสินค้าอื่น ๆ มักใช้โอกาสนี้เพื่อใช้สิทธิ์ลดหย่อนภาษีร่วมกับมื้ออาหาร แต่สำหรับร้านอาหารทั่วไป ผลตอบรับแทบจะไม่มีความเปลี่ยนแปลง”

จากการสำรวจของสมาคมภัตตาคารไทย พบว่าร้านอาหารที่ได้รับผลดีจากมาตรการ “Easy E-Receipt” ส่วนใหญ่เป็นร้านอาหารระดับบน เช่น ห้องอาหารโรงแรม 5 ดาว ร้านอาหารจีนพรีเมียม หรือร้านอาหารอิตาเลียนระดับไฮเอนด์ และเชฟส์เทเบิล ซึ่งมีค่าใช้จ่ายต่อมื้ออยู่ในระดับหลักพันถึงหลักหมื่นบาทต่อคน

มาตรการนี้ช่วยกระตุ้นร้านอาหารระดับบนได้ก็จริง แต่สำหรับร้านอาหารทั่วไป หรือแม้แต่ร้านอาหารระดับกลาง ก็ดูเหมือนว่าจะไม่มีผลมากนัก ข้อสังเกตสำคัญจากมาตรการนี้คือ การที่ผู้ได้รับผลประโยชน์ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มที่มีรายได้สูง

ขณะที่ร้านอาหารทั่วไปแทบไม่ได้รับผลกระตุ้นยอดขายเลย หลายฝ่ายมองว่าหากรัฐบาลต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจในภาคธุรกิจร้านอาหารอย่างแท้จริง ควรพิจารณามาตรการที่สามารถกระจายผลประโยชน์ไปยังทุกระดับ ไม่ใช่เพียงแค่กลุ่มบนที่มีกำลังซื้อสูง

ขณะที่นางสาววาริสฐา เกียรติภิญโญชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ลาซาด้า ประเทศไทย จำกัด กล่าวว่า ข้อมูลจากลาซาด้าในช่วงโครงการพบว่า มาตรการ Easy E-Receipt 2.0 ได้รับกระแสตอบรับที่ดีจากผู้บริโภคและช่วยกระตุ้นกำลังซื้อได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการ มียอดขายเพิ่มขึ้นเฉลี่ยมากกว่า 2 เท่า เมื่อเทียบกับช่วงเวลาปกติ

นอกจากนี้ ยังมีร้านค้าชั้นนำที่มียอดขายติดอันดับท็อปสามารถสร้างยอดขายเพิ่มขึ้นมากกว่า 33 เท่า ในช่วงโครงการ โดยสินค้าอิเล็กทรอนิกส์เป็นหมวดหมู่ที่ได้รับความนิยมสูงสุด ติดอันดับสินค้าขายดีทั้งในแง่ยอดขายรวมและจำนวนคำสั่งซื้อ โดยร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการ มียอดขายเพิ่มขึ้นเฉลี่ยมากกว่า 2 เท่า

ด้านผู้บริหารระดับสูง บริษัท ช้อปปี้ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ช้อปปี้ ในฐานะแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซอันดับ 1 มุ่งมั่นในการสนับสนุนมาตรการของภาครัฐที่ช่วยส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัลและอำนวยความสะดวกให้กับผู้บริโภคและผู้ขายออนไลน์ ซึ่งโครงการ “Easy E-Receipt ช้อปลดภาษี” ได้รับการตอบรับที่ดี

จากทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย เนื่องจากช่วยให้การจัดการใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์เป็นไปอย่างสะดวก รวดเร็ว โดยตลอดระยะแคมเปญที่ผ่านมา ร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการยังแสดงให้เห็นถึงการเติบโตทางธุรกิจอย่างเด่นชัด โดยยอดขายเพิ่มขึ้น ราว 60% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาปกติ

“เราพบว่าโครงการนี้มีส่วนช่วยกระตุ้นให้ผู้บริโภคตัดสินใจซื้อสินค้าได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มสินค้ายอดนิยม อย่าง เครื่องใช้ในบ้าน, ความงามและของใช้ส่วนตัว และเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน”

ช้อปปี้เชื่อว่าความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนเป็นปัจจัยสำคัญในการผลักดันเศรษฐกิจดิจิทัลให้เติบโตอย่างยั่งยืน การดำเนินโครงการที่เอื้อต่อการใช้จ่ายและสนับสนุนธุรกิจออนไลน์จะเป็นประโยชน์ต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวม และช่วยให้ทั้งผู้บริโภคและผู้ประกอบการสามารถปรับตัวเข้าสู่ยุคดิจิทัลได้อย่างมีประสิทธิภาพ