แหล่งข่าวจากทำเนียบรัฐบาล เปิดเผยว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 17 ธันวาคม 2567 แม้ว่าจะใช้เวลาการประชุมเพียงแค่ชั่วโมงเศษ แต่มีการหารือวาระเกี่ยวกับมาตรการรักษาเสถียรภาพราคามันสำปะหลัง ปี 2567/68 ซึ่งเสนอเข้ามาโดยกระทรวงพาณิชย์ โดยวาระนี้ ครม.ได้หารือกันนานที่สุด และมีรัฐมนตรีแสดงความคิดเห็นกันอย่างกว้างขวาง เกี่ยวกับแนวทางการแก้ปัญหาการลักลอบนำเข้ามันสำปะหลังตามแนวชายแดน
นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เริ่มต้นกล่าวว่า ปัญหามันสำปะหลังส่วนใหญ่มาจากการลักลอบนำเข้า จึงอยากให้กระทรวงการคลังดูแล แต่หลังจากที่นายพิชัยกล่าวจบ นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ได้แย้งว่า กระทรวงการคลังมีอำนาจดูแลเฉพาะใน ด้านศุลกากร เท่านั้น แต่การควบคุมการลักลอบนำเข้าโดยตรงไม่ใช่อำนาจของกระทรวงการคลัง
ด้าน นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม แสดงความเห็นสอดคล้องกับนายจุลพันธ์ว่า การแก้ปัญหาการลักลอบนำเข้าไม่ใช่อำนาจของกระทรวงการคลัง เพราะกระทรวงจะดูแลเพียง การขนส่งผ่านเขตศุลกากร เท่านั้น แต่ถ้าเป็นด้านอื่นโดยเฉพาะเรื่องการควบคุมการลักลอบกระทรวงการคลังไม่มีอำนาจ
ในที่สุด น.ส.สุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ซึ่งไม่ค่อยได้แสดงความคิดเห็นในที่ประชุม ครม. มากนัก ได้เสนอแนวทางแก้ปัญหาด้วยการสร้างความต้องการบริโภคภายในประเทศให้เพิ่มขึ้น พร้อมทั้งเสนอมาตรการอื่น ๆ ที่สามารถดำเนินการได้ ซึ่งที่ประชุม ครม. ก็ยอมรับไอเดียดังกล่าวของรมว.วัฒนธรรม
อย่างไรก็ตาม น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ก็ได้กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า อยากให้ช่วยแก้ปัญหา และสามารถนำมันสำปะหลังไปทำประโยชน์ให้มากที่สุด
สำหรับปัญหาการลักลอบนำเข้ามันสำปะหลังนั้น ที่ผ่านมากรมการค้าภายใน ได้จัดสายตรวจเฉพาะกิจ ร่วมกับเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง คุมเข้มตามด่านพรมแดนเพื่อป้องกันการลักลอบนำเข้ามันสำปะหลัง รวมทั้งสินค้าเกษตรอื่นๆ จากประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อราคาจำหน่ายผลผลิตภายในประเทศของเกษตรกรไปแล้ว หลังจากสถานการณ์ราคารับซื้อได้ปรับลดลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปลายเดือนพฤศจิกายน 2567 ที่ผ่านมา
ส่วน มติครม. วันนี้ ที่ประชุมเห็นชอบมาตรการรักษาเสถียรภาพราคามันสำปะหลัง ปี 2567/68 จำนวน 4 โครงการ มีวงเงินงบประมาณที่นำไปใช้ภายใต้โครงการต่าง ๆ รวม 368.90 ล้านบาท ประกอบด้วย
1.โครงการชดเชยดอกเบี้ยในการเก็บสต๊อกมันสำปะหลัง ปี 2567/68 โดยรัฐรับภาระดอกเบี้ย 3% ต่อปี สิ้นสุด 31 ธ.ค.2568
2.โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมมันสำปะหลังและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร ปี 2567/68 มีวงเงินสินเชื่อ 500 ล้านบาท คิดดอกเบี้ย 4.50% ต่อปี โดยสถาบันเกษตรกรรับภาระ 1% ต่อปี ส่วนที่เหลือรัฐบาลชดเชยดอกเบี้ยให้ธ.ก.ส. สิ้นสุด 31 ก.ค.2568
3. โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการเพาะปลูกมันสำปะหลัง ปี 2567/68 มีวงเงินสินเชื่อ 690 ล้านบาท ดอกเบี้ย 3% ต่อปี ระยะเวลาไม่เกิน 24 เดือน สิ้นสุด 31 ต.ค.2569
4. โครงการยกระดับศักยภาพการแปรรูปมันสำปะหลัง (เครื่องสับมันสำปะหลัง) ปี 2567/68 โดยสนับสนุนเงินทุนให้กลุ่มเกษตรกร วิสาหกิจชุมชน สหกรณ์การเกษตร กลุ่มกองทุนหมู่บ้าน หรือกลุ่มเกษตรกรที่หน่วยงานรัฐรับรอง เพื่อจัดซื้อเครื่องสับมันสำปะหลังขนาดเล็ก พร้อมเครื่องยนต์สำหรับการผลิตมันเส้นและอุปกรณ์สำหรับตากมันเส้น จำนวน 650 เรื่อง รายละไม่เกิน 15,000 บาท สิ้นสุด 31 ธ.ค.2568