ดร.ไพจิตร วิบูลย์ธนสาร รองประธานและเลขาธิการหอการค้าไทยในจีน เปิดเผย "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า กรณีจีนประกาศยกเว้นภาษีศุลกากร 0% แก่ประเทศกำลังพัฒนาโดยเริ่มใช้มาตรการ วันที่ 1 ธันวาคม 2567 ถือว่าเป็นการแสดงจุดยืนของจีนที่สนับสนุนเรื่องของเศรษฐกิจการค้าเสรี เขาพยายามให้เห็นว่าการสหรัฐฯ มีการเรียกเก็บภาษีอากร กำหนดมาตรการกีดกันอื่น ๆ เหมือนการตกยุคหรือหลงยุค
ทั้งนี้ การที่จีนออกมาตรการดังกล่าว มองว่าเป็นการสร้างเครือข่ายอีกหนึ่งหนทางในขยายเศรษฐกิจ ซึ่งที่ผ่านมา จีน เขาก็สนับสนุนเปิดโอกาส เปิดตลาด ลดภาษีให้กับสินค้าต่างประเทศมากขึ้น ทำให้การเป็นผู้นำของจีนในเวทีโลกในเรื่องของการค้าเสรีโดดเด่นมากยิ่งขึ้น
ขณะเดียว ยังเป็นโอกาสของเอกชนและผู้ประกอบการไทย อีกทั้งกรอบภาษี FTA อาเซียน - จีน การนำเข้าภาษีก็ค่อนข้างต่ำอยู่แล้ว ซึ่งก็ไม่แน่ใจการการประกาศลดภาษีให้ประเทศที่กำลังพัฒนา หรือแข่งขันนอกภูมิภาคอื่น ๆ สินค้าไทยอาจจะต้องแข่งขันมากยิ่งขึ้น ตอนนี้ตลาดจีนเปิดกว้างมากยิ่งขึ้น เพราะเศรษฐกิจเริ่มพลิกฟื้นกลับมา ซึ่งมันก็เป็นโอกาสที่ประเทศไทยต้องให้ความสำคัฐกับตลาดจีน เพราะในอนาคตก็ไม่มั่นใจว่า สหรัฐฯจะมีการขึ้นภาษีนำเข้ากับประเทศมากน้อยเพียงใด
นอกจากนี้ รัฐบาลต้องมีการวางแผน โครงการต่าง ๆ ที่จะผลักดันสินค้าไทยเราเข้าสู่ตลาดจีนมากยิ่งขึ้นให้เป็นระบบต่อเนื่อง อีกทั้งผู้ประกอบการก็ต้องหันมาให้ความสำคัญกับตลาดจีน จากที่เคยให้ความสำคัญอยู่ก็ต้องให้ความสำคัญเพิ่มขึ้นอีก เช่น จัดสรรงบประมาณ ด้านการตลาด เพื่อขยายพื้นที่ ขยายภูมิภาค เพราะปัจจุบันจีนก็เริ่มเจริญเข้าไปในพื้นที่ตอนในมากยิ่งขึ้น
"ทุกกลุ่มสินค้าของไทยมีโอกาส เมื่อเศรษฐกิจประเทศจีนพลิกฟื้นกลับมากำลังซื้อเพิ่มมากยิ่งขึ้น ฉะนั้นจุดสำคัญ สินค้าตัวไหนเด่นหรือมีความสามารถแข่งขันได้ เราต้องขยายในเชิงภูมิภาค ขยายกลุ่มเป้าหมาย ขยายผ่านช่องทางการจำหน่ายต่าง ๆ เข้าไปในตลาดจีน ขณะที่คนที่ยังไม่ได้เข้าไปก็ขยับเข้าไป มันก็จะเป็นห่วงโซ่เพิ่มมากขึ้น สร้างรูปแบบธุรกิจใหม่ๆ
จะเห็นได้ชัดว่าตอนนี้จีนมาบุกไทย แม้กระทั่งอาหารที่สมัยก่อนแล้วบอกว่าอาหารเค้าไม่ปลอดภัย แต่ตอนนี้เขามาพร้อมรูปแบนธุรกิจ แต่ไทยยังอยู่ในรูปแบบเดิมๆ ฉะนั้นไทยต้องเตรียมความพร้อม ครอบคลุมตั้งแต่เรื่องข้อมูล รวมถึงการจดเครื่องหมายการค้า หากจะเข้าตลาดจีนไม่มีการจดเครื่องหมายการค้าก็ลำบาก เรื่องแบบนี้ใครอยากเข้าไปตลาดจีนก็ต้องเตรียมตัว"