หนี้ครัวเรือนฉุดค้าปลีกไทย ปี 67 โตไม่ถึงเป้า สมาคมค้าปลีก หวังรัฐช่วยหนุน

25 พ.ย. 2567 | 13:20 น.
อัปเดตล่าสุด :25 พ.ย. 2567 | 13:25 น.

สมาคมผู้ค้าปลีกไทย ลุ้นมาตรการรัฐ หนุน “ค้าปลีก” ดาวเด่นปี 68 ผลักดันจีดีพีไทยเติบโต ภาพรวมค้าปลีกตลอดปี 2567 พบว่าปรับตัวดีขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา ผลจากการฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยวและการเบิกจ่ายงบประมาณประจำปีจากภาครัฐ แต่เป็นการฟื้นตัวอย่างช้าๆและไม่สมดุล

นายณัฐ วงศ์พานิช ประธานสมาคมผู้ค้าปลีกไทย กล่าวว่า “ภาพรวมค้าปลีกปี 2567 ยังไม่สดใสเท่าที่ควรจากปัจจัยที่มีผลกระทบต่อภาคครัวเรือนและผู้ประกอบการค้าปลีก อาทิ การเติบโตทางเศรษฐกิจที่ไม่เป็นตามที่ภาครัฐคาดการณ์ไว้ ทำให้ผู้ประกอบการค้าปลีกเกินกว่า 37% ผลิตหรือสต็อกสินค้าเกินความเหมาะสมไว้ก่อนแล้ว

การหดตัวด้านการลงทุน ที่ส่งผลต่ออัตราการจ้างงานและการบริโภค,หนี้ครัวเรือนสูง และภาระหนี้สินของเอสเอ็มอี รวมทั้งมาตรการแจกเงิน 1 หมื่นบาทให้กลุ่มเปราะบาง 14.5 ล้านคน ยังไม่สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้ชัดและยังต้องรอความชัดเจนในเฟสต่อไปที่จะแจกให้กับกลุ่มผู้สูงอายุและกลุ่มอื่นๆ

หนี้ครัวเรือนฉุดค้าปลีกไทย ปี 67 โตไม่ถึงเป้า สมาคมค้าปลีก หวังรัฐช่วยหนุน หนี้ครัวเรือนฉุดค้าปลีกไทย ปี 67 โตไม่ถึงเป้า สมาคมค้าปลีก หวังรัฐช่วยหนุน

ประกอบกับเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ที่สร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจกว่า 5-6 หมื่นล้านบาท รวมทั้งอนาคตของเศรษฐกิจและการค้าโลกที่ไม่แน่นอนจากนโยบายภายใต้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ล้วนส่งผลต่อความเชื่อมั่นด้านการใช้จ่ายของประชาชน

อย่างไรก็ตาม สมาคมผู้ค้าปลีกไทยมองว่าทิศทางค้าปลีกปี 2568 คาดอาจจะเติบโตราว 3-5 % เมื่อเทียบกับจีดีพีของปี 2568 ที่คาดว่าจะเติบโต 2.3-3.3% ด้วยแรงหนุนจากภาคท่องเที่ยวและส่งออก รวมถึงการลงทุนของภาครัฐและเอกชนทั้งไทยและต่างประเทศ

ท่ามกลางความท้าทายจากความผันผวนของเศรษฐกิจโลก สถานการณ์ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ กำลังซื้อของผู้บริโภคที่ยังไม่ฟื้น และปัญหาหนี้ครัวเรือน โดยสมาคมฯ เชื่อว่าภาคค้าปลีกจะเป็นหนึ่งในเครื่องยนต์สำคัญอันดับต้นๆ ที่จะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้เติบโตตามเป้าหมาย ด้วยมูลค่าค้าปลีกและบริการกว่า 4.4 ล้านล้านบาท หากได้รับการส่งเสริมและสนับสนุนจากภาครัฐอย่างจริงจังและต่อเนื่อง 

 

สมาคมฯ ขอเสนอ ข้อเสนอแนะต่อภาครัฐเพื่อร่วมกันกระตุ้นค้าปลีกไทยในปี 2568

เดินหน้าลงทุนและเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐ ปี 2568

  • จากตัวเลขจีดีพีไตรมาส 3 ปี 2567 ที่ขยายตัว 3% ส่วนใหญ่เกิดจากการลงทุนภาครัฐที่ขยายตัวเป็นครั้งแรกในรอบ 6 ไตรมาส โดยขยายตัวสูงถึง 25.9% ดังนั้นสมาคมผู้ค้าปลีกไทยจึงมองว่าการลงทุนของภาครัฐจะเป็นกลจักรสำคัญในการขยายตัวทางเศรษฐกิจในปี 2568   ขณะเดียวกันรัฐควรเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณและการใช้จ่ายภาครัฐ ประจำปี 2568 ให้ทันท่วงที และเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ ภายหลังการเบิกจ่ายงบประมาณปี 2567 ล่าช้า
  • ส่งเสริมให้เกิดการกระจายเม็ดเงินโดยภาครัฐ ทั้งการลงทุน การจัดซื้อจัดจ้าง และการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้รุดหน้า

เสริมแกร่งผู้ประกอบการเอสเอ็มอี

  • เอสเอ็มอีในประเทศไทยมีมากถึง 3.2 ล้านราย คิดเป็น 99.5% ของสถานประกอบการทั้งหมด ดังนั้นภาครัฐจึงควรสนับสนุนเอสเอ็มอี โดยเฉพาะไมโครเอสเอ็มอีที่มีอยู่กว่า 2 ล้านราย ให้เติบโตอย่างเข้มแข็ง เช่น  ส่งเสริมการเข้าถึงสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำหรือแหล่งเงินทุนให้กับผู้ประกอบการรายย่อย, การเพิ่มโอกาสทางการค้า การขยายช่องทางการตลาด การจำหน่ายสินค้า  โดยในปี 2568 สมาคมผู้ค้าปลีกไทย เดินหน้าช่วยเหลือไมโครเอสเอ็มอีทั่วประเทศตามนโยบาย “TRA GREAT” โดยจัดงาน ตลาดนัด SME สัญจร เปิดพื้นที่ให้ไมโครเอสเอ็มอีนำสินค้ามาจำหน่ายภายในห้างร้านของสมาชิกฯ  เช่น  แม็คโคร,โลตัส, เซ็นทรัล, โก โฮลเซลล์, ไทวัสดุ ตลอดปี 2568  เป็นต้น
  • ออกมาตรการในการป้องกันการทะลักของสินค้าจีนราคาถูกที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อเอสเอ็มอีไทยในทุกแพลต์ฟอร์ม
  • เพิ่มการอัดฉีดมาตรการกระตุ้นการบริโภคและเศรษฐกิจในประเทศ
  • คลอดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่มีประสิทธิภาพ ทั่วถึง และตรงกลุ่มเป้าหมาย สร้างโมเมนตัมการใช้จ่ายอย่างได้ผล เช่น ช้อปดีมีคืน, Easy E-Receipt

ขับเคลื่อนการลงทุนภาคเอกชนทั้งในและต่างประเทศ

  • ส่งเสริมการลงทุนในภาคเอกชนทั้งนักลงทุนไทยและต่างประเทศ เพื่อให้เกิดการขยายตัวของภาคผลิต ด้วยนโยบายจูงใจต่างๆ เพื่อให้เกิดการจ้างงาน สร้างอาชีพ ซึ่งปัจจุบันภาครัฐกำลังเร่งเครื่องทำเรื่องนี้อย่างจริงจัง

ยกระดับไทยเป็นจุดหมายปลายทางท่องเที่ยว

  • กระตุ้นการท่องเที่ยวโดยโฟกัสกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มีกำลังซื้อสูง เช่น พิจารณาลดภาษีสินค้าเพื่อกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยของนักท่องเที่ยว ยกตัวอย่างกรณีประเทศญี่ปุ่นเริ่มมีแผนยกเลิกเพดานภาษีหรือ Tax Free ทำให้สามารถซื้อสินค้าปลอดภาษีมูลค่าเพิ่มเกิน 500,000 เยนต่อวันได้ ขณะที่ประเทศไทยอาจเริ่มต้นมาตรการ Tax Free (การยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม) กับยอดซื้อสินค้าทั่วไปที่มีมูลค่ารวมในการซื้อต่อท่านต่อวันในร้านเดียวกันเกิน 5,000 บาทขึ้นไป เป็นต้น
  • ส่งเสริมให้ไทยเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมของต่างชาติด้วยเสน่ห์ซอฟต์เพาเวอร์ไทย ด้านอาหาร วัฒนธรรมไทย  ควบคู่กับการเป็นสวรรค์แห่งการช้อปปิ้ง มุ่งสู่เป้าหมายนักท่องเที่ยว 40 ล้านคนในปี 2568

สมาคมผู้ค้าปลีกไทย ตอกย้ำเจตนารมณ์ที่จะร่วมมือกับทุกภาคส่วนในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้เติบโตทุกระดับ พร้อมสนับสนุนให้รัฐบาลเดินหน้ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างเต็มสูบเพื่ออนาคตของเศรษฐกิจไทยที่จะกลับมาเข้มแข็งอีกครั้ง