เลือกตั้งสหรัฐฯ “แฮร์ริส” ชนะสงครามระอุ “ทรัมป์” มา ศก.โลกเดือด

01 พ.ย. 2567 | 06:00 น.
อัปเดตล่าสุด :05 พ.ย. 2567 | 13:25 น.
1.3 k

ศึกเลือกตั้งผู้นำสหรัฐฯ “ทรัมป์-แฮร์ริส” กระทบไทย-โลกต่างมุม “แฮร์ริส” การค้าคล่อง แต่ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ สงครามในหลายภูมิภาคร้อนระอุ หาก “ทรัมป์” กลับมา เศรษฐกิจโลกป่วน-สงครามการค้าระอุ

การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ระหว่าง โดนัลด์ ทรัมป์ อดีตประธานาธิบดีจากพรรครีพับลิกัน และ กมลา แฮร์ริส รองประธานาธิบดีจากพรรคเดโมแครต จะมีขึ้นในวันที่ 5 พฤศจิกายนนี้ ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่จะกำหนดทิศทางเศรษฐกิจโลกและไทยในอีก 4 ปีข้างหน้า

  • สงครามการค้าระลอกใหม่ภายใต้ “ทรัมป์”

รศ.ดร.อัทธ์ พิศาลวานิช ผู้เชี่ยวชาญเศรษฐกิจระหว่างประเทศ เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า หากทรัมป์ชนะการเลือกตั้ง นโยบาย “America First” จะกลับมาสร้างแรงสั่นสะเทือนให้กับเศรษฐกิจโลกอีกครั้ง โดยเฉพาะการประกาศเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากทุกประเทศเพิ่มขึ้น 10-20% และมาตรการพิเศษสำหรับจีนที่จะเก็บภาษีเพิ่มขึ้นมากกว่า 60%

“การที่ทรัมป์ไม่เน้นประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม อาจเป็นผลดีกับสินค้าไทยที่ยังไม่พร้อมในการลดการปล่อยคาร์บอน และเปิดโอกาสให้ไทยส่งออกชิ้นส่วนรถยนต์เครื่องยนต์สันดาปได้ต่อเนื่อง นอกจากนี้ นโยบายลดภาษีนิติบุคคลจาก 21% เหลือ 15% เพื่อดึงการผลิตกลับสหรัฐฯ อาจทำให้มีความต้องการวัตถุดิบจากไทยมากขึ้น” รศ.ดร.อัทธ์กล่าว

 

ภาพประกอบข่าว การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ 2024

 

นายเกรียงไกร เธียรนุกล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) แสดงความกังวลว่า ทรัมป์อาจสั่งตรวจสอบประเทศที่เกินดุลการค้ากับสหรัฐฯอย่างเข้มงวด โดยปัจจุบันไทยอยู่ในลำดับที่ 12 ของประเทศที่เกินดุลการค้าสหรัฐฯ ซึ่งในสมัยที่ทรัมป์เป็นประธานาธิบดีครั้งก่อน (พ.ศ. 2560-2564) เคยระบุว่าไทยดำเนินมาตรการที่ทำให้เงินบาทอ่อนค่าเกินจริง เพื่อได้เปรียบทางการค้า

  • “ทรัมป์” เป็นปธน.ความตึงเครียดภูมิรัฐศาสตร์คลี่คลาย

แม้นโยบายเศรษฐกิจของทรัมป์จะสร้างความปั่นป่วน แต่ในด้านความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ มองว่า โอกาสที่จะเกิดสงครามจริงในพื้นที่ตะวันออกกลาง ไต้หวัน หรือคาบสมุทรเกาหลีมีแนวโน้มลดลง

“ทรัมป์เคยประกาศว่าจะยุติสงครามรัสเซีย-ยูเครนภายในหนึ่งวัน ผ่านความสัมพันธ์ส่วนตัวที่ดีกับประธานาธิบดีปูติน ส่วนกรณีไต้หวัน เขาประกาศว่าหากต้องการความช่วยเหลือจากสหรัฐฯ ไต้หวันต้องจ่ายค่าคุ้มครอง ขณะที่ความขัดแย้งในคาบสมุทรเกาหลี ทรัมป์เคยพบกับคิม จอง อึน แบบตัวต่อตัวมาแล้ว จึงมีโอกาสที่สถานการณ์จะคลี่คลายลง” นายกอบศักดิ์ วิเคราะห์
 

  • เศรษฐกิจการค้าคล่องตัวภายใต้ “แฮร์ริส”

ในทางตรงกันข้าม หากแฮร์ริสชนะการเลือกตั้ง รศ.ดร.อัทธ์มองว่า การค้าระหว่างประเทศจะมีความคล่องตัวมากกว่า เนื่องจากเน้นการค้าแบบพหุภาคีและการเจรจาที่มีเหตุผล โดยเฉพาะในกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจอินโด-แปซิฟิก (IPEF) ที่ไทยเป็นหนึ่งในสมาชิก

สอดคล้องกับ สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) ประเมินว่า ภายใต้การนำของแฮร์ริส ไทยจะได้ประโยชน์จากการถ่ายทอดเทคโนโลยีและการลงทุน โดยเฉพาะในด้านพลังงานสะอาด เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานชีวมวล รวมถึงโอกาสในการร่วมทุนในอุตสาหกรรมแห่งอนาคต อาทิ เทคโนโลยีการเกษตรสมัยใหม่ (AgriTech) ซึ่งเป็นจุดแข็งของไทย

อย่างไรก็ตาม สนค. วิเคราะห์ว่านโยบายที่เกี่ยวข้องกับการสนับสนุนอุตสาหกรรมสีเขียว ส่งผลให้ไทยอาจต้องปรับเพิ่มมาตรการ การผลิตเพื่อให้รักษาส่วนแบ่งตลาดภายในสหรัฐฯซึ่งจะก่อให้เกิดต้นทุนส่วนเพิ่มที่เลี่ยงไม่ได้

 

ภาพประกอบข่าว การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ 2024

 

  • สงคราม-ภูมิรัฐศาสตร์ยังร้อนระอุ

แม้นโยบายการค้าของแฮร์ริสจะผ่อนคลายกว่า แต่นายกอบศักดิ์ เตือนว่า หากนางแฮร์ริสชนะการเลือกตั้ง การดำเนินนโยบายก็จะต่อเนื่องจากอดีตประธานาธิบดี โจ ไบเดน แม้สงครามการค้าจะไม่รุนแรงขึ้นก็จริง แต่สงครามจริงจะดำเนินต่อไป ซึ่งน่ากังวล เพราะในวันนี้หากสงครามจริงเกิดขึ้นแล้วจะไม่จบง่ายๆ

“ประเด็นที่กังวลมากที่สุดคือ การเกิดสงครามจริงที่รุนแรงขึ้นมากกว่า เพราะสงครามจะส่งผลต่อ เส้นทางขนส่ง ต่อต้นทุนการค้า การเงิน ต้นทุนพลังงาน ขณะที่หากเป็นสงครามการค้าที่กีดกันจีนมากขึ้น จะส่งผลด้านลบต่อการส่งออกของไทย แต่ก็ทำให้จีนหรือประเทศอื่นๆ ที่มีฐานผลิตที่จีนย้ายมาลงทุนไทยมากขึ้นได้เช่นกัน” นายกอบศักดิ์ กล่าว

ธนาคารกรุงเทพประเมินว่า ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์และสงครามการค้าจะส่งผลให้บริษัททั่วโลกต้องปรับเปลี่ยนห่วงโซ่อุปทาน โดยประเด็นที่น่ากังวลที่สุดคือการเกิดสงครามจริงที่รุนแรงขึ้น เพราะจะกระทบเส้นทางขนส่ง ต้นทุนการค้า การเงิน และพลังงาน ส่วนสงครามการค้าที่กีดกันจีน แม้จะกระทบการส่งออกไทย แต่อาจทำให้มีการย้ายฐานผลิตมาไทยมากขึ้น

ขณะที่ นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย มองว่าผู้นำยุโรปหลายคนแสดงความกังวลว่า หากทรัมป์ชนะ เอกภาพระหว่างสหรัฐฯกับนาโต้จะเปลี่ยนไปในทางลบ และการสนับสนุนยูเครนจะสิ้นสุดลง ซึ่งจะสร้างความเปราะบางให้กับภูมิภาคยุโรป

 

ภาพประกอบข่าว การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ 2024

 

  • สงครามเทคโนโลยีทวีความรุนแรง

นายสนั่น ยอมรับว่า ไม่ว่าใครจะชนะการเลือกตั้ง สงครามเทคโนโลยีระหว่างสหรัฐฯและจีนมีแนวโน้มรุนแรงขึ้น โดยทั้งทรัมป์และแฮร์ริสต่างมุ่งจำกัดการเข้าถึงเทคโนโลยีและทรัพยากรของสหรัฐฯจากจีน เพียงแต่ใช้กลยุทธ์ต่างกัน

ล่าสุด สหรัฐฯได้เสนอกฎเกณฑ์ห้ามใช้รถยนต์เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตที่ผลิตด้วยชิ้นส่วนจีนบนท้องถนนสหรัฐฯ และเพิ่มการควบคุมการส่งออกชิปและอุปกรณ์ผลิตชิปไปจีน ขณะที่จีนตอบโต้ด้วยการจำกัดการส่งออกวัตถุดิบสำคัญ เช่น เจอร์เมเนียม แกลเลียม แกรไฟต์ และธาตุหายาก

สอดคล้องกับข้อมูลของ สนค.ที่วิเคราะห์ว่า นโยบายของกมลา แฮร์ริส อาจส่งเสริมการลงทุนในเทคโนโลยี 5G และปัญญาประดิษฐ์ (AI) เปิดโอกาสให้บริษัทโทรคมนาคม และซอฟต์แวร์ของไทยเข้าร่วมในห่วงโซ่อุปทานระดับโลก

  • ผลกระทบต่อตลาดการเงิน

นายมาร์โค สุจริตกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารอาวุโสประจำประเทศไทย บริษัท เจพีมอร์แกน ประเทศไทย เปิดเผยว่า ดัชนีราคาหุ้นไทยกำลังอยู่ในแนวโน้มขาขึ้น โดยได้รับแรงหนุนจากนักลงทุนสถาบันในประเทศที่ซื้อหุ้นรวมกว่า 800 ล้านดอลลาร์ตั้งแต่ต้นเดือนตุลาคม โดยในอดีต นักลงทุนต่างชาติมักจะถอนการลงทุนออกจากหุ้นไทยหนึ่งเดือนก่อนการเลือกตั้งสหรัฐฯ และจะกลับมาลงทุนอีกครั้งหลังการเลือกตั้ง

นางพวรรณ์ นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (YLG) กล่าวว่า หากผลออกมาว่า ฝั่งพรรคเดโมแครตชนะการเลือกตั้ง ภาพรวมทิศทางทองคำน่าจะดำเนินต่อไปเช่นในปัจจุบัน เนื่องจากทางพรรคน่าจะยังคงการเดินนโยบายลดอัตราดอกเบี้ยต่อเนื่อง แต่หากพรรครีพับลิกันชนะจะยังไม่สามารถคาดการณ์ทิศทางของตลาดทองคำได้ เพราะมีโอกาสเป็นได้ทั้งการปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็วและการปรับตัวลดลงอย่างรวดเร็ว

ทั้งนี้เนื่องจากนโยบายของพรรคจะเป็นการชูแคมเปญอเมริกาต้องมาก่อน ซึ่งจะทำให้เกิดการขึ้นภาษีประเทศคู่ค้าและนโยบายที่ทำให้ดอลลาร์สหรัฐฯแข็งค่า ซึ่งอาจจะทำให้เงินเฟ้อกลับมา ดังนั้นนโยบายลดดอกเบี้ยอาจจะต้องชะงักไว้ ซึ่งจะกดดันทองคำ แต่หากภาพรวมเศรษฐกิจมีความน่ากังวลทองคำก็จะกลับมาพุ่งแรงได้เช่นกัน

อย่างไรก็ดีก่อน จะถึงวันเลือกตั้งและวันประชุมของธนาคารกลางสหรัฐฯ ทิศทางทองคำจะเป็นลักษณะแกว่งตัวในกรอบ ที่มีแนวต้านที่โซน 2,800 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อออนซ์ และแนวรับที่ 2,724 - 2,708 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อทรอยออนซ์

 

ภาพประกอบข่าว การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ 2024

 

  • ผลกระทบต่อการลงทุนจากต่างชาติ

ส่วนผลประทบต่อการลงทุนจากต่างชาติ สนค. วิเคราะห์อย่างน่าสนใจว่า นโยบาย America First ของทรัมป์อาจทำให้บริษัทสหรัฐฯที่มีฐานการผลิตในไทยพิจารณาย้ายกลับประเทศ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และชิ้นส่วนยานยนต์

นอกจากนี้ การถ่ายทอดเทคโนโลยีจากสหรัฐฯสู่ไทยอาจชะลอตัว ส่งผลต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมในระยะยาว ขณะที่ภายใต้การนำของแฮร์ริส การลงทุนในไทยอาจเพิ่มขึ้นในกลุ่มดาต้าเซ็นเตอร์ บริการคลาวด์ เซมิคอนดักเตอร์ และอุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ โดยเฉพาะจากบริษัทที่เป็นสมาชิก IPEF

  • นโยบายแรงงานและการจ้างงาน

อีกด้าน คือ นโยบายด้านแรงงานของทั้งสองฝ่ายมีความแตกต่างชัดเจน โดยแฮร์ริสให้ความสำคัญกับการคุ้มครองสิทธิแรงงานและสหภาพแรงงาน รวมถึงการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ ขณะที่ทรัมป์เน้นการลดกฎระเบียบและมีแผนเนรเทศแรงงานต่างด้าวครั้งใหญ่ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อแรงงานไทยในสหรัฐฯและการส่งกลับเงินของแรงงาน

 

ภาพประกอบข่าว การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ 2024

 

  • บิ๊กอสังหาฯวิเคราะห์ไม่ว่าใครมาสะเทือนทั้งคู่

นายพรนริศ ชวนไชยสิทธิ์ นายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย เปิดเผย “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ไม่ว่า ใครมาเป็นผู้นำสหรัฐฯ ยอมรับว่าทั่วโลก โดยเฉพาะประเทศในแถบเอเชียรวมถึงไทย ไม่ได้รับผลดีทั้งคู่ ในทางตรงกันข้าม อาจนำมาซึ่งความสั่นสะเทือนไปทั้งโลกไม่ว่า การกีดกันการค้า กำแพงภาษี รวมถึง สงครามที่พร้อมขยายวงได้ทุกเมื่อ

โดยเฉพาะกมลา แฮร์ริส สงครามการสู่รบในตะวันออกกลางจะคงรุนแรง เนื่องจากเป็นนโยบายเดียวกันกับ ประธานาธิบดีคนก่อน และไม่ทราบแน่ชัดว่า จะรุนแรงยาวนานขนาดไหน แต่ที่เห็นเด่นชัดในปัจจุบัน คือโจ ไบเดน ให้การสนับสนุน อิสราเอล และกระทบ ถึงต้นทุนน้ำมัน การขนส่ง ค่าระวางเรือซึ่งอาจมีผลทำให้ต้นทุนค่าก่อสร้าง วัสดุก่อสร้างขยับสูงขึ้น

แต่หากเป็นโดนัลด์ ทรัมป์ จะมีผลด้านสงครามทางการค้าโดยเฉพาะจีนและสหรัฐฯ การกีดกันทางการค้ากำแพงภาษี และจะกระทบมาถึงไทยด้วย แต่หนักที่สุดจะเป็นจีนซึ่งเป็นคู่แข่งขันหลัก แต่ผลดีที่จะตกกับไทย คาดการณ์ว่าจีนจะขยายฐานการผลิต การลงทุนมายังไทย เพื่อลดผลกระทบ

  • การปรับตัวของภาคอุตฯไทย

ด้านสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ประเมินว่า หากทรัมป์สั่งขึ้นภาษีสินค้าจีน 60% ขึ้นไป จะทำให้สินค้าราคาถูกจากจีนทะลักเข้าไทยเพิ่มขึ้น และกระทบรุนแรงต่ออุตสาหกรรมการผลิตและบริการของไทย ขณะที่หากแฮร์ริสชนะ ภาคอุตสาหกรรมไทยต้องเร่งปรับตัวรับมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวดขึ้น

โดยอุตสาหกรรมที่น่าจับตามองหากทรัมป์ชนะคือ อาหาร อุตสาหกรรมเทคโนโลยีและอิเล็กทรอนิกส์ และล้อยางรถยนต์ เนื่องจากทรัมป์ไม่เชื่อในประเด็นลดโลกร้อน ส่วนหากแฮร์ริสชนะ อุตสาหกรรมที่มีโอกาส คือ พลังงานสะอาด ยานยนต์ไฟฟ้า และสินค้าเกษตรยั่งยืน

ขณะที่ ประธานหอการค้าไทย มองว่า ไม่ว่าผลการเลือกตั้งจะออกมาอย่างไร ภาคธุรกิจไทยต้องเตรียมพร้อมรับมือกับความท้าทายที่จะเกิดขึ้น ทั้งการปรับตัวด้านมาตรฐาน สิ่งแวดล้อม การพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม และการหาพันธมิตรทางธุรกิจใหม่ๆ เพื่อกระจายความเสี่ยง โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศอาเซียนที่มีศักยภาพการเติบโตสูง

 

ภาพประกอบข่าว การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ 2024

 

เครดิตภาพ : Reuter