ผู้สื่อข่าวรายงาน (9 ส.ค. 2567) นายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ ได้นำคณะสื่อมวลชนเยี่ยมชมฟาร์มยี่สารของบริษัท ณ จังหวัดสมุทรสงคราม เพื่อเคลียร์ประเด็นปลาหมอคางดำทั้งแผนการวิจัยและการปฏิบัติตามเงื่อนไขรัฐ โดยมั่นใจบริษัทไม่ใช่ต้นเหตุของการแพร่กระจายปลาหมอคางดำ และย้ำต้องปกป้ององค์กรจากการถูกบิดเบือนข้อเท็จจริง
นายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ชี้แจงแผนการวิจัยปลาหมอคางดำ โดยเริ่มต้นที่วัตถุประสงค์ของโครงการวิจัยเพื่อปรับปรุงพันธุ์ปลานิลให้ลดการเกิดเลือดชิดของสายพันธุ์เดิมที่มีอยู่ เป็นที่มาของการขออนุญาตนำเข้าปลาจากกานา ในปีที่ขออนุญาตนั้น (2549) ปลาชนิดนี้ยังไม่มีชื่อภาษาไทย จึงระบุชื่อว่า “ปลานิล” ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Sorotherodon melanotheron และชื่อสามัญว่า “Blackchin Tilapia”
ขณะที่ผู้รวบรวมปลาในประเทศกานา ไม่สามารถรวบรวมปลาให้ได้ 5,000 ตัวภายในปี 2549 จึงทำให้ต้องนำเข้าจริงในปี 2553 แต่ก็ได้เพียง 2,000 ตัว และเมื่อลูกปลาขนาด 1 กรัม มาถึงสนามบินสุวรรณภูมิ ขั้นตอนต่าง ๆ ก็เป็นไปตามที่ได้ชี้แจงไปยังคณะกรรมาธิการการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (กมธ.อว.) และคณะอนุกรรมาธิการฯ
นายประสิทธิ์ เล่าต่อว่า เมื่อลูกปลามาถึงสนามบินสุวรรณภูมิ ได้รับการตรวจสภาพ ณ ด่านกักกันสัตว์ พบว่ามีลูกปลาตายจำนวนมากถึงกว่า 70% เนื่องจากลูกปลาขนาดเล็กมากและเดินทางไกลจากกานา ส่งผลให้เหลือลูกปลาเพียง 600 ตัวที่มีสภาพอ่อนแอมาก หลังจากนั้นจึงได้นำลูกปลาทั้งหมดไปยังฟาร์มยี่สาร โดยนำลูกปลาที่ยังมีชีวิตปล่อยลงในบ่อซิเมนต์ขนาดความจุน้ำ 8 ตันในระบบปิด กระบวนการนี้เป็นช่วงเวลาของการกักกันโรค (Quarantine) ตามมาตรฐานความปลอดภัยทางชีวภาพ (Bio-Securities)
“ดังนั้น คำกล่าวอ้างที่ว่าฟาร์มยี่สารมีแต่บ่อดินและเลี้ยงปลาหมอคางดำในบ่อดินอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2553-2560 จึงเป็นข้อความเท็จและบิดเบือน”
อย่างไรก็ดีเนื่องจากลูกปลาในบ่อกักกัน ทยอยตายลงทุกวันตั้งแต่ 22 ธันวาคม 2553 – 6 มกราคม 2554 ขั้นตอนตามแผนวิจัยจึงต้องล้มเลิก เนื่องจากตัวอย่างประชากรปลาไม่เพียงพอสำหรับการวิจัย โดยนักวิจัยของบริษัทได้ขออนุญาตทำลายลูกปลาและยุติโครงการ จากนั้นได้แจ้งกรมประมงและนำซากปลาส่งให้เจ้าหน้าที่กรมประมง ตามที่เป็นข่าวไปก่อนหน้านี้ โดยนายประสิทธิ์ได้ชี้แจงเพิ่มเติมถึงประเด็นข้อสงสัยเกี่ยวกับการปฎิบัติตามเงื่อนไขการนำเข้าของคณะกรรมการด้านความหลากหลายและความปลอดภัยทางชีวภาพ (IBC) ดังนี้
เงื่อนไขที่ 1
เมื่อสิ้นสุดการทดลองให้แจ้งผลการทดลองต่อกรมประมง เนื่องจากลูกปลาเสียหายทั้งหมดในขณะกักกันเพียง 16 วัน ไม่เป็นไปตามเป้าหมายการวิจัยและบริษัทไม่ประสงค์ทำการศึกษาต่อ จึงทำลายปลาชุดดังกล่าวทั้งหมดและแจ้งเจ้าหน้าที่กรมประมงในวันที่ 6 มกราคม 2554
เงื่อนไขที่ 2
กรมประมงเก็บตัวอย่างครีบ โดยไม่ทำให้ปลาตายอย่างน้อย 3 ตัว การเก็บครีบปลาจะทำเมื่อเข้าสู่ช่วงวิจัย และปลามีขนาดโตเหมาะสมแล้วเท่านั้น แต่เนื่องจากปลาไม่แข็งแรงและเสียหายทั้งหมดในขณะกักกันเพียง 16 วัน จึงยังไม่ถึงขนาดที่จะทำการเก็บครีบปลาโดยไม่ทำให้ปลาตายได้ และเข้าใจได้ว่าหน้าที่การเก็บครีบปลาตามข้อสรุปของคณะกรรมการด้านความหลากหลายและความปลอดภัยทางชีวภาพ (IBC)นั้นเป็นหน้าที่ของกรมประมง เพื่อให้มั่นใจว่าเป็นครีบปลาชนิดนั้นจริง และเป็นโอกาสให้เจ้าหน้าที่ได้เห็นสถานที่จริงในการทำวิจัย
เงื่อนไขที่ 3
หากผลการศึกษาไม่เป็นไปตามเป้าหมายและไม่ประสงค์จะศึกษาต่อ ให้ทำลายปลาชุดดังกล่าวทั้งหมด และแจ้งกรมประมงเพื่อส่งเจ้าหน้าที่เข้าตรวสอบการทำลายต่อไป ในข้อนี้บริษัทได้แจ้งกรมประมงในวันที่ 6 มกราคม 2554 พร้อมส่งซากปลาจำนวน 50 ตัว ให้กรมประมงทำการตรวจสอบ โดยได้ทำลายปลาที่เสียหายทั้งหมดด้วยการใส่คลอรีนเข้มข้น 100 ppm ในบ่อกักกัน เก็บซากปลาทั้งหมดออกมาแช่ฟอร์มาลีน และฝังกลบโดยขุดหลุมลึกประมาณ 50 ซม. โรยปูนขาวที่ก้นหลุม ใส่ซากปลาลงไป แล้วโรยปูนขาวปิดตัวปลา ก่อนเอาดินกลบ
งานวิจัยในปี 2563 ของกรมประมงสรุปไว้ว่า การแบ่งกลุ่มปลาหมอคางดำในประเทศไทย แบ่งได้เป็น2-3กลุ่มย่อย แต่ละกลุ่มย่อยมีความแตกต่างทางพันธุกรรมสูง กล่าวคือ ปลามีแหล่งที่มาจากหลายแหล่ง
ส่วนงานวิจัยในปี 2565 ซึ่งใช้วิธีวิจัยที่แตกต่างกัน พบว่าปลาหมอคางดำในประเทศไทย สามารถแบ่งได้ถึงหลายกลุ่มย่อย และทุกกลุ่มย่อย “มีระยะห่างทางพันธุกรรมไม่ต่างกันมากนัก” จึงสรุปในเบื้องต้นว่าน่าจะมาจากแหล่งเดียวกัน แต่ในงานวิจัยชิ้นเดียวกันนี้กลับพบอีกว่า ระยะห่างทางพันธุกรรมไม่แปรผันตามระยะห่างทางภูมิศาสตร์ เนื่องจากปลาที่พบในจังหวัดเพชรบุรีกับจังหวัดสมุทรสงครามซึ่งมีพื้นที่ติดกัน กลับมีระยะห่างทางพันธุกรรมสูงสุด
ในขณะที่ปลาที่พบในพื้นที่จังหวัดระยองซึ่งห่างไกลกับจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ กลับมีระยะห่างทางพันธุกรรมใกล้กันมาก จึงเป็นไปได้ว่าการกระจายตัวของปลาชนิดนี้ เกิดขึ้นจากฝีมือมนุษย์ การแพร่กระจายที่เกิดขึ้นจากฝีมือมนุษย์ เป็นไปได้หมดไม่ว่าเกิดจากการลักลอบเพาะเลี้ยง หรือการนำไปเป็นปลาเหยื่อ หรือเป็นอาหารให้กับปลาชนิดอื่น
"การอ้างอิงถึงเอกสารทั้ง 2 ฉบับนั้น เพื่อเป็นการให้ข้อมูลตามผลการศึกษาเท่านั้น ไม่ได้ ต้องการจะสรุปประเด็นการศึกษา ความหลากหลายพันธุกรรมของประชากรปลาหมอคางดำ และการวิเคราะห์เส้นทางการแพร่ระบาดของปลาหมอสีคางดำ" นายประสิทธิ์ กล่าว
นายประสิทธิ์ กล่าวอีกว่า บริษัทได้พบว่ามีการนำเสนอภาพเท็จและข้อมูลเท็จเพื่อบิดเบือนข้อเท็จจริงที่ก่อให้เกิดความเข้าใจผิดในเชิงลบเกี่ยวกับบริษัทตามช่องทางสื่อสาธารณะต่างๆ รวมทั้งใช้เป็นภาพประกอบในการเสวนาที่มีการสื่อสารสู่สาธารณะ ดังตัวอย่างเช่น
ภาพแรก เป็นรูปภาพถ่ายทางอากาศของบริเวณฟาร์มยี่สารที่มีการระบุผังของฟาร์มบิดเบือนไปจากข้อเท็จจริง ซึ่งความเป็นจริงคือ บ่อปรับปรุงพันธุ์ปลานิล ปลาทับทิมและปลาทะเล
ภาพที่สอง ที่อ้างว่าเป็น “สภาพบ่อดินของฟาร์มยี่สารซึ่งใช้เพาะเลี้ยงปลาหมอคางดำ 2554-2557” และมีข้อความบนภาพว่า “แต่เลี้ยงต่อเนื่องที่ฟาร์มยี่สารตั้งแต่ 2553-2560” ภาพนี้ไม่ใช่ภาพของฟาร์มยี่สาร รวมทั้งฟาร์มแห่งนี้ได้มีการปิดปรับปรุงฟาร์มในช่วงเวลาดังกล่าวประมาณ 1-2 ปี ภาพและข้อความดังกล่าวจึงเป็นภาพและข้อมูลเท็จ
ภาพที่สาม ที่กล่าวอ้างว่าเป็น "การคัดเลือกไข่ปลาหมอคางดำฯ"นั้น เป็นการบิดเบือนข้อเท็จจริง เพราะไม่ใช่กระบวนการคัดเลือกไข่ตามแนวปฏิบัติของบริษัท
“ขอยืนยันว่าบริษัทไม่ใช่ต้นตอการแพร่กระจายของปลาหมอคางดำ และต้องขอปกป้องศักดิ์ศรีของบริษัทที่มีผู้ใช้ภาพเท็จ-ข้อมูลเท็จในการบิดเบือนข้อเท็จจริง ทำให้สังคมเข้าใจผิด และจะดำเนินการตามขั้นตอนทางกฏหมายต่อไป” นายประสิทธิ์ กล่าวทิ้งท้าย