อดีตผู้ว่าททท.ถอดรหัส ท่องเที่ยวไทย ย้ำอย่าเพิ่งดีใจกับตัวเลขเพิ่มขึ้น

19 ก.ค. 2567 | 14:41 น.
อัปเดตล่าสุด :19 ก.ค. 2567 | 14:41 น.

อดีตผู้ว่าททท. “ยุทธศักดิ์ สุภสร” ถอดรหัส “ท่องเที่ยวไทย” อย่าเพิ่งไปดีใจกับตัวเลขเพิ่มขึ้น ย้ำต้องผลักดันซัพพลายช่วยขับเคลื่อนดีมานต์ อย่ามุ่งแต่จำนวนนักท่องเที่ยวเพียงอย่างเดียว เร่งเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันด้านการท่องเที่ยวของไทยในเวทีโลก หลังอันดับลดลง

นายยุทธศักดิ์ สุภสร ประธานกรรมการการนิคมอุตสาหกรรม แห่งประเทศไทย (กนอ.) และอดีตผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ให้ความเห็นต่อทิศทางการท่องเที่ยวของประเทศไทย ว่า ไทยจะต้องเน้นการบริหารจัดการแหล่งท่องเที่ยวที่มีประสิทธิภาพบนพื้นฐานของความยั่งยืน โดยคำนึงถึงประสบการณ์ของนักท่องเที่ยวเป็นสำคัญ

ยุทธศักดิ์ สุภสร

ทั้งนี้บทบาทการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) อาจต้องปรับ ไปทำ Supply driven demand มากกว่า การกระตุ้นดีมานด์ที่เน้นจำนวนอย่างเดียว โดยหันมาให้ความสำคัญกับ Supply Side เพิ่มขึ้น ทั้งการพัฒนา สร้างสรรค์และส่งเสริม ใช้โอกาสนี้เพิ่ม ขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ทำให้อันดับ TTDI สูงขึ้น

โดยผ่านแนวคิด 3R ได้แก่ Rebuild พัฒนาสินค้าและบริการให้มีมูลค่าเพิ่มสูง Rebrand ประชาสัมพันธ์และสื่อสารการตลาดด้วยภาพลักษณ์ใหม่ และ Rebalance ปรับสมดุลใหม่เพื่อความยั่งยืนตามกรอบการบริหารความยั่งยืน สร้างรายได้การท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่องทั่วถึงและเป็นธรรม การบริหารจัดการผู้มีส่วนได้เสียอย่างเป็นระบบและการสร้างความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม

  • Make Thailand Amazing Always

นายยุทธศักดิ์ กล่าวต่อว่าจากข้อมูลของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา รายงานสถิตินักท่องเที่ยวระหว่างประเทศที่เดินทางเข้าไทย 6 เดือนแรกของปี ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม ถึง 30 มิถุนายน 2567 มีจำนวน 17,501,283 คน ตัวเลขการ เพิ่มขึ้นของนักท่องเที่ยวต่างชาติดังกล่าว มิได้เหนือความคาดหมายแต่อย่างใด เพราะจากข้อมูลจาก องค์การการท่องเที่ยวโลกแห่งสหประชาชาติ (United Nations World Tourism Organization: UNWTO) ระบุว่า การท่องเที่ยวระหว่างประเทศคาดว่าจะฟื้นตัวเต็มที่ระดับก่อนเกิดโรคระบาดในปี 2567 โดยประมาณการเบื้องตนชี้ไปที่การเติบโต 2% เหนือระดับปี 2562

โดยมีปัจจัยเสี่ยง ได้แก่ อัตราการฟื้นตัวของการเดินทางทองเที่ยวในเอเชีย และความเสี่ยงด้านลบทางเศรษฐกิจและภูมิรัฐศาสตร์ที่มีอยู่ นอกจากนี้การฟื้นตัวของภาคทองเที่ยวไทยยังคงต่ำ (Tourism recovery remained low) ตามรายงานของ World Bank เมื่อวันที่ 20 มีนาคมที่ผ่านมา สอดคล้องกับรายงานของธนาคารแห่งประเทศ ไทยที่ระบุว่า บริการที่เกี่ยวข้องกับภาคการท่องเที่ยว นักท่องเที่ยวยังกลับมาไม่เต็มที่ โดยเปรียบเทียบ จำนวนนักทองเที่ยวต่างชาติ 16.7 ล้านคน ในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2562 กับจำนวนนักทองเที่ยว ต่างชาติ 15 ล้านคน ในช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567

หนทางสู่การท่องเที่ยวที่ยั่งยืนในอนาคต

Build Back Better อยากเห็นการท่องเที่ยวไทยให้กลับมาเติบใหญ่ แต่ไม่ใช่แค่การเพิ่มขึ้นเชิงปริมาณเท่านั้น แต่ต้องทำให้การท่องเที่ยวแข่งขันได้ และเติบโตต่อไปอย่างยั่งยืน เพราะภาคท่องเที่ยวเป็นหนึ่งในเครื่องยนต์หลักของเศรษฐกิจไทยในช่วงก่อนโควิด สะท้อนจากรายได้โดยตรงจากนักทองเที่ยวที่คิดเป็นประมาณ 18% ของ GDP และยังไม่นับ GDP โดยอ้อมจากการบริโภคของแรง งานเกี่ยวเนื่องกับภาคท่องเที่ยวกว่า 8 ล้านคน ทุกภาคส่วนจึงหวังว่า การฟื้น ตัวของภาคท่องเที่ยวจะช่วยขับเคลื่อน เศรษฐกิจไทยในระยะต่อไป

จากข้อมูลดัชนี Travel & Tourism Development (TTDI) ที่จัดทำโดย World Economic Forum ตั้งแต่ปี 2550 โดย TTDI เป็นมาตรวัดความสามารถในการแข่งขันของภาคท่องเที่ยว ซึ่งข้อมูลเผยแพร่ล่าสุดในปี 2567ครอบคลุม 119 ประเทศ และเครื่องชี้ย่อยในหมวดหมู่ต่าง ๆ ของภาคท่องเที่ยว ประกอบด้วย โครงสร้างพื้นฐาน นโยบายและปัจจัยส่งเสริมการท่องเที่ยว สภาพแวดล้อม ความยั่งยืน และแรงขับเคลื่อนอุปสงค์ เช่น วัฒนธรรม และทรัพยากรธรรมชาติ

ปรากฏว่ามาตรวัดความสามารถการแข่งขันของภาคท่องเที่ยวของไทยในปีนี้ อยู่อันดับที่ 47 จาก 119 ประเทศ เป็นที่ 10 ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก เป็นอันดับที่ 4 ใน อาเซียน รองจากสิงคโปร์ อินโดนีเซีย และมาเลเซีย แต่ดีกว่าเวียดนาม ประเทศเพื่อนบ้าน

สำหรับประเทศไทย ปัจจัยที่ต้องพึงระวังและพิจารณากำกับดูแลและพัฒนาให้ดีขึ้น คือ ปัจจัยผลกระทบด้านเศรษฐกิจ และสังคมของการเดินทางท่องเที่ยว ประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 106 และปัจจัยด้านความมั่นคงปลอดภัย ประเทศไทย อยู่ในอันดับที่ 102 จาก 119 ประเทศทั่วโลก

โดยเฉพาะดัชนีด้านความปลอดภัยของไทย ล่าสุดปรับแย่ลงจากที่ 92 จาก 117 ประเทศ เป็น 102 จาก 119 ประเทศทั่วโลก เป็นอันดับแย่ที่สุดในอาเซียน สอดคล้องกับผลสำรวจล่าสุด ของ Dragon Trail ซึ่งพบว่าคนจีนกังวลการเดินทางมาเที่ยวไทยเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวจาก 28% ในปี 2565 เป็น 51% ในปี 2566 และมีส่วนทำให้นักทองเที่ยวจีนมาไทยฟื้นตัวได้ช้า

ดัชนี Travel & Tourism Development (TTDI) จะเห็นได้ว่าไทยยังมีจุดอ่อนด้านความปลอดภัย หากภาคท่องเที่ยวไทยยังต้องการรักษาความสามารถในการแข่งขันสิ่งที่ทุกภาคสวนต้องบูรณาการทำร่วมกัน ได้แก่ การเร่งแก้ปัญหาความปลอดภัย การบำรุงรักษาโครงสร้างพื้นฐานเดิมอย่างดี และยกระดับโครงสร้างพื้นฐานให้มีประสิทธิภาพและครบครัน การอนุรักษทรัพยากรธรรมชาติ โดยมุ่งเน้นการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนสอดคล้องกับหลัก ESG เพื่อให้ธรรมชาติที่งดงาม ยังคงอยู่ และสร้างขีดความสามารถให้ภาคท่องเที่ยวของไทยยังแข่งขันได้ในอนาคต

อดีตผู้ว่าททท.ถอดรหัส ท่องเที่ยวไทย ย้ำอย่าเพิ่งดีใจกับตัวเลขเพิ่มขึ้น

สำหรับประเด็นด้านความยั่งยืน เพื่อ Build Back Better นั้น เพื่อให้เกิด Resilience ในระดับที่จะสร้างความมั่นใจว่า “ท่องเที่ยวดี มีอนาคตยั่งยืน” อุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ไทยจะพัฒนาไปในทิศทางที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืน โดย

1.เสริมสร้างความแข็งแกร่งของห่วงโซ่อุปทานบนพื้นฐานของคุณภาพและความยั่งยืน โดยยกระดับและ ปรับโครงสร้างให้สอดรับกับความต้องการของกลุ่มนักท่องเที่ยวคุณภาพ พร้อมโครงสร้างที่ส่งเสริม การกระจายรายได้การท่องเที่ยวสู่ท้องถิ่น และชุมชนอย่างทั่วถึงและเป็นธรรมทั้งในเมืองหลักและ เมืองรอง (เมืองน่าเที่ยว)

2. พัฒนาปัจจัยสนับสนุนการท่องเที่ยวและโครงสร้างพื้นฐานบริการนักท่องเที่ยว ไม่ใช่แค่ Free Visa แต่รวมถึงปัจจัยที่เอื้อต่อการเดินทางอย่างสะดวกปลอดภัย (Ease & Safe of Traveling) เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดี (Customers Experiences) มีคุณค่าจากการเดินทางท่องเที่ยว เพิ่มความประทับใจตั้งแต่ก้าวแรกที่มาถึงและตลอดระยะเวลาที่เดินทางท่องเที่ยว มีมาตรฐานการปฏิบัติเรื่อง ความสะดวกและปลอดภัยต่อนักทองเที่ยวอย่างเท่าเทียม ไม่ว่าจะเป็นผู้เยี่ยมเยือนคนไทย หรือ นักท่องเที่ยวต่างชาติ

3.ใช้ความยั่งยืนเป็นกลยุทธในการสร้างการเติบโตและสร้างรายได้ ทางการท่องเที่ยว (Sustainability for Tourism Growth) โดยให้ความสำคัญกับการพัฒนาอุปทานที่สอดคล้องในมิติต่าง ๆ ภายใต้การ สร้างสรรค์เพิ่ม คุณค่าและมีความแตกต่าง ส่งเสริมและสนับสนุนการกระบวนการบริหารจัดการแหล่งท่องเที่ยวและ/หรือธุรกิจต่าง ๆ ในห่วงโซ่อุปทานด้านการท่องเที่ยวที่ คำนึงถึงผลกระทบทางสิ่งแวดด้อม เศรษฐกิจ และสังคม ทั้งใน ปัจจุบันและอนาคต รวมถึงตอบสนองต่อความต้องการของนักท่องเที่ยว อุตสาหกรรม สิ่งแวดล้อม และชุมชนท้องถิ่น  เพื่อสร้างสมดุลที่เหมาะสมและ อาจหมายรวมถึงการแก้ไขกฎหมาย

โดยใช้เรื่องความยั่งยืนเป็นเงื่อนไข หากดำเนินการไปพร้อม ๆ กับ การกระตุ้นดีมานต์ที่ไม่เน้นจำนวน หาก แต่คำนึงถึงคุณภาพ ของนักท่องเที่ยว และการสร้างความยังยื่นแล้วมั่นใจได้ว่าจะส่งผลทำให้อุตสาหกรรมท่องเที่ยว มี Resilience ที่ดีมั่นคง แข็งแกรง และมีภูมิคุ้มกันระยะยาว เพื่อเป็นหลักประกันในการสร้างมูลค่าหรือรายได้ที่ยั่งยืนให้กับประเทศ ภาคการท่องเที่ยวจะ Build Back Better กลับมาเติบใหญ่ แข่งขันได้ เติบโตอย่างยั่งยืน และทำให้ ประเทศไทย Amazing ตลอดไป