ครม. ขยายเวลาลดเงินนำส่งเข้ากองทุน SFIF 4 แบงก์รัฐ อีก 1 ปี

16 ก.ค. 2567 | 15:23 น.
อัปเดตล่าสุด :16 ก.ค. 2567 | 15:31 น.

ครม. ไฟเขียว ขยายระยะเวลาปรับลดอัตราเงินนำส่งเข้ากองทุน SFIF 4 แบงก์รัฐ 0.25 % ต่ออีก 1 ปี แต่วันที่ 1 มกราคม 2567 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2567

วันที่ 16 กรกฎาคม 2567 ที่ทำเนียบรัฐบาล นางรัดเกล้า อินทวงศ์ สุวรรณคีรี รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติให้ความเห็นชอบร่างประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง กำหนดอัตราเงินนำส่งเข้ากองทุนพัฒนาระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจ (SFIF) พ.ศ. ....

นางรัดเกล้ากล่าวว่า สำหรับสาระสำคัญเป็นการขยายระยะเวลาการปรับลดอัตราเงินนำส่งเข้ากองทุนพัฒนาระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจของสถาบันการเงินเฉพาะกิจรวม 4 แห่ง ได้แก่ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ธนาคารออมสิน ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) และธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ธอท.)

ทั้งนี้ ปรับลดอัตราเงินนำส่งเหลือร้อยละ 0.125 ต่อปี ของยอดเงินที่ได้รับจากประชาชน สำหรับรอบการนำส่งเงินในปี พ.ศ. 2567 โดยให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2567 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2567 ทั้งนี้ให้กลับมาใช้อัตราร้อยละ 0.25 ต่อปีสำหรับรอบการนำส่งเงินตั้งแต่ปี พ.ศ. 2568 เป็นต้นไป

นางรัดเกล้ากล่าวว่า สืบเนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ในปัจจุบันเริ่มคลี่คลายลง และสภาวะเศรษฐกิจได้เริ่มฟื้นตัวแล้ว แต่ยังคงส่งผลต่อกลุ่มลูกค้าของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นลูกหนี้ประชาชนรายย่อยที่เป็นกลุ่มเปราะบาง และกลุ่มเศรษฐกิจฐานรากที่ยังอยู่ระหว่างฟื้นตัว และอาจไม่สามารถกลับมาชำระหนี้ได้ตามปกติ สถาบันการเงินเฉพาะกิจจึงเป็นกลไกสำคัญในการประคับประคองเศรษฐกิจ และยังคงต้องให้ความช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่ลูกหนี้กลุ่มดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง

นางรัดเกล้ากล่าวว่า ประกอบกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังมีข้อสั่งการให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจทั้ง 4 แห่ง จัดทำข้อเสนอโครงการหรือมาตรการใหม่ที่สะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนว่า หากสถาบันการเงินเฉพาะกิจได้รับการปรับลดอัตราเงินนำส่งเข้ากองทุนพัฒนาระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจ จะสามารถส่งผ่านการลดอัตราเงินนำส่งดังกล่าวเพื่อไปช่วยเหลือแก่ลูกหนี้ของสถาบันการเงินเฉพาะกิจได้อย่างแท้จริงและเป็นรูปธรรม

นางรัดเกล้ากล่าวว่า ดังนั้นเพื่อเป็นการแบ่งเบาภาระต้นทุนให้กับสถาบันการเงินเฉพาะกิจ และกำหนดให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจส่งผ่านการลดอัตราเงินนำส่งไปช่วยเหลือลูกหนี้ของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ โดยเฉพาะการให้ความช่วยเหลือแก่ลูกหนี้ประชาชนรายย่อยที่เป็นกลุ่มเปราะบาง กลุ่มเศรษฐกิจฐานราก รวมถึงลูกหนี้นอกระบบ 

ทั้งนี้ สถาบันการเงินเฉพาะกิจทั้ง 4 แห่ง ได้จัดทำรายละเอียดโครงการหรือมาตรการเพื่อช่วยเหลือลูกหนี้ โดยสามารถส่งผ่านการลดอัตราเงินนำส่งดังกล่าวเพื่อไปช่วยเหลือแก่ลูกหนี้ของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ ได้แก่ ลูกหนี้ประชาชนรายย่อยที่เป็นกลุ่มเปราะบาง กลุ่มเศรษฐกิจฐานราก และลูกหนี้นอกระบบ ประกอบด้วย

  • การลดดอกเบี้ยเงินกู้ในอัตราผ่อนปรนพิเศษให้แก่ลูกหนี้เป็นการทั่วไป เช่น ลดอัตราดอกเบี้ยลูกหนี้รายย่อยชั้นดี (Minimum Retail Rate : MRR)
  • การลดอัตราดอกเบี้ยหรือดอกเบี้ยค้างรับตามสัญญา
  •  การเปลี่ยนลำดับการตัดชำระหนี้ที่ทำให้เงินต้นของลูกหนี้ปรับลดลงในทุกงวดที่ผ่านชำระ ซึ่งคาดว่าจะได้สามารถช่วยเหลือลูกหนี้ได้ประมาณ 5 ล้านบัญชี

โดยธนาคารแห่งประเทศ (ธปท.) มีความเห็นเกี่ยวกับการดำเนินงานของกองทุนพัฒนาระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจว่า ควรพิจารณาถึงความพอเพียงของสภาพคล่องในการดำเนินงานตามพันธกิจในอนาคต และควรมีกระบวนการติดตาม และประเมินผลการส่งผ่านความช่วยเหลือของสถาบันการเงินเฉพาะกิจไปยังลูกหนี้อย่างต่อเนื่อง เพื่อแสดงว่าการปรับลดอัตราเงินนำส่งดังกล่าวถูกส่งผ่านไปเพื่อช่วยเหลือลูกหนี้ได้อย่างแท้จริงและเป็นรูปธรรม

รวมทั้งควรระมัดระวังไม่ให้เกิดการสร้างแรงจูงใจให้ลูกหนี้ที่ไม่ได้รับผลกระทบที่จะหยุดชำระหนี้ (moral hazard) เพื่อไม่ให้ส่งผลต่อวินัยทางการเงินที่ดี