เศรษฐกิจไทยไตรมาสแรกของปี 2567 ขยายตัวในอัตราที่ชะลอตัวลง โดยขยายตัวเพียง 1.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และขยายตัว 1.1% จากไตรมาสที่ผ่านมา แสดงให้เห็นถึงสัญญาณชะลอตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจในช่วงต้นปี
อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง ทำให้ สศช.ต้องปรับลดคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจไทยในปี 2567 ลงมาอยู่ที่ระดับ 2-3% จากเดิมที่คาดการณ์ไว้ 2.2-3.2%
สาเหตุหลักที่ทำให้ต้องปรับลดคาดการณ์ลงมาจากสถานการณ์สงครามการค้าและสถานการณ์ด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่รุนแรงขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยภายนอกที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย
ตัวเลขการขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทยที่ชะลอลงในไตรมาสแรก และการปรับลดคาดการณ์การเติบโตประจำปี 2567 ลง สะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายที่เศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญอยู่ นอกจากปัจจัยภายนอกจากสงครามการค้าและสถานการณ์ทางการเมืองโลกแล้ว ประเด็นปัญหาภายในประเทศเอง ก็ยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
หนึ่งในปัญหาใหญ่ที่ประเทศไทยกำลังเผชิญคือ เด็กนอกระบบการศึกษา เเละเมื่อเศรษฐกิจชะลอตัวย่อมส่งผลต่อความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาให้ขยายกว้างขึ้น
เศรษฐกิจชะลอตัว ผู้ปกครองรายได้ลดลง
โดยเฉพาะในส่วนของ การจ้างงานผู้ปกครอง เนื่องจากส่วนใหญ่อยู่ในระบบสัญญาจ้างระยะสั้น และเป็นสัญญาจ้างรายวัน อาจทำให้ถูกลดค่าจ้างรายวัน เช่น เดิมได้ค่าจ้าง 200-300 บาท จะเหลือเพียง 100-150 บาท
ดังนั้น เศรษฐกิจที่ชะลอตัวจะนำไปสู่การต่อรองค่าจ้าง และการย้ายถิ่นที่อยู่ของผู้ปกครอง ดร.ไกรยศ ภัทราวาท ผู้จัดการ กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) กล่าว
เปิดเทอม 2567 ค่าใช้จ่ายแพงขึ้น
ผู้ปกครองเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น เฉลี่ย 25,322 บาท ต่อคน แบ่งเป็น
ตามรายงานขององค์การยูเนสโก ระบุว่า ปัญหานี้ส่งผลให้เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจและสังคมสูงถึง 1.7 % ของ GDP คิดเป็นต้นทุนทางเศรษฐกิจ 6,529 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นสัดส่วนที่สูงอย่างมีนัยสำคัญ
ตัวเลขนี้สะท้อนให้เห็นว่า การมีเด็กจำนวนมากที่หลุดจากระบบการศึกษา นอกจากจะส่งผลกระทบต่อการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของประเทศแล้ว ยังเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาว เนื่องจากเด็กเหล่านี้จะมีโอกาสน้อยในการพัฒนาทักษะ ความรู้ และศักยภาพ จึงอาจต้องประสบปัญหาการว่างงาน รายได้น้อย และความยากจนตามมา ซึ่งจะกลายเป็นภาระต่อระบบเศรษฐกิจและสังคมในที่สุด
เเต่หากประเทศไทยไม่มีเด็กหลุดจากระบบการศึกษา จะทำให้ GDP ของประเทศเพิ่มขึ้น 3% ตามข้อมูลจากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด
ข้อมูลในปี 2566 มีการเชื่อมโยงข้อมูลเด็กและเยาวชนรายบุคคล ทั้ง 21 สังกัด และเชื่อมโยงข้อมูลประชากรจากทะเบียนราษฎร์ กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย พบว่า ฐานข้อมูลเด็กและเยาวชนที่ไม่มีข้อมูลในระบบการศึกษา หรือ หลุดออกจากระบบ 1.02 ล้านคน ในจำนวนนี้คือ อนุบาล 1- ม.6 อายุ 3-18 ปี ในเด็กกลุ่มนี้ พบว่า เด็ก ป. 1- ม.3 หลุดออกจากระบบการศึกษาภาคบังคับมากที่สุด 3.94 แสนคน