หนี้เสียบัตรเครดิตพุ่ง 1 ล้านใบ หลังปรับขึ้นจ่ายขั้นต่ำเป็น 8%

08 พ.ค. 2567 | 14:55 น.
อัปเดตล่าสุด :08 พ.ค. 2567 | 15:07 น.
686

หนี้เสียบัตรเครดิต พุ่ง 1 ล้านใบ มูลหนี้รวมกว่า 6.4 หมื่นล้านบาท โต 14% ส่วนหนี้กำลังจะเสีย น่าเป็นห่วง โต 32% เครดิตบูโร ชี้ มาตรการปรับขึ้นอัตราการชำระขั้นต่ำเป็น 8% มีส่วน

จากกรณีที่ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ปรับเกณฑ์อัตราการชำระขั้นต่ำบัตรเครดิต จากที่ผ่อนผันให้ในช่วงโควิด19 จ่ายเพียง 5% ปรับขึ้นเป็น 8% ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.2567 เป็นต้นมา และกลับเข้าสู่อัตราปกติ 10% ในปีหน้านั้น

นายสุรพล โอภาสเสถียร ผู้จัดการใหญ่ บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด (เครดิตบูโร) เฟซบุ๊กส่วนตัว ถึงสถานการณ์หนี้บัตรเครดิตของไทย ในไตรมาสที่ 1/2567 โดยระบุว่า สินเชื่อบัตรเครดิตจากฐานข้อมูล​สถิติที่ไม่มีตัวตนของเครดิตบูโร​ครับ​ ขอนำเรียนความห่วงใยดังนี้

1.ตั้งแต่ต้นปี​ 2567​ การจ่ายชำระหนี้ขั้นต่ำของบัตรเครดิตจะต้องเริ่มต้นที่​ 8% จากเดิมที่ผ่อนผันในช่วงการระบาด​ Covid-19 ​ที่กำหนดไว้​ 5%

2.มีคำถามมาตลอดว่าถ้ากติกาใหม่ออกมาจะทำให้หนี้เสียหรือ​ NPLs​ กระโดดไหม​ จะทำให้หนี้กำลังจะเสียหรือ​ SM กระโดดหรือไม่

3.ตัวเลข​ภาพรวม ณ​ มีนาคม​ 2567​ ไม่มีอะไรแปลกใจ

  • ยอดหนี้บัตรเครดิตทั้งหมด​ 24 ล้านใบ
  • เป็นเงิน​ 5.5แสนล้านบาทเติบโต​ 3.2% yoy 
  • ถ้าเทียบจากสิ้นปี​ 2566​ หดตัว​ 5.1%qoq 

4.สินเชื่อบัตรเครดิตที่เป็น​ NPLs​ ค้างเกิน​ 90วัน เริ่มไม่สบายใจแล้ว

  • มีจำนวน​ประมาณ​ 1 ล้านใบเศษ
  • คิดเป็นยอดเงิน​ 6.4 หมื่นล้านบาท เติบโต​ 14.6%yoy 

5.พอมาดูยอดหนี้ที่เป็น​ SML หรือกำลังจะเป็นหนี้เสีย

  • บัตรที่ชำระหนี้ได้แบบตะกุกตะกัก​ ติดๆขัดๆ​ 1.9 แสนใบ​ 
  • จำนวนเงิน​ 1.2 หมื่นล้านบาท เติบโต​ 32.4%yoy 

"มาถึงตรงนี้เริ่มตาโตแล้วครับว่า​ แค่สามเดือนแรกของการปรับเพิ่มยอดชำระขั้นต่ำทำไมมันเกิดการกะโดดใน​ SM​L ตามต่อไปดูว่าแล้วมันโตจากปลายปี​ 2566​ เท่าใดก็พบว่า​เติบโตถึง​ 20.6% qoq​ ถ้าเป็นอย่างนี้ก็ต้องบอกว่าเป็นอะไรที่ต้องระวังว่ามันจะไหลเพิ่ม​ ไหลแรงกว่าเดิมหรือไม่​"

หนี้เสียบัตรเครดิตพุ่ง 1 ล้านใบ หลังปรับขึ้นจ่ายขั้นต่ำเป็น 8%

นอกจากปัญหาค่าครองชีพแล้ว​ รายได้ไม่ฟื้นตัว​ เปราะบางจนนุ่มนิ่ม​ มันสะท้อนแล้วว่าชำระหนี้สินเชื่อนี้ได้ลำบากมากขึ้น ตามภาพกราฟที่แสดงนะครับ​ ผมลองทำดูว่าจากบัตรเครดิตที่เป็น​ SM.จำนวนเกือบ​ 2 แสนใบนั้นเป็นบัตรที่เปิดมานานเท่าใดแล้ว​ พบว่า

เปิดไม่เกิน​ 2 ปี​

  • 3.6 หมื่นใบ
  • Gen Y​ 2.3 หมื่นใบ

เปิดมากกว่า​ 2 ปี แต่ไม่เกิน​ 4 ปี 

  • 3.9 หมื่นใบ​
  • Gen Y​ 2.7 หมื่นใบ 
  • Gen X​ 9.2 พันใบ

เปิดมากกว่า​ 4 ปี แต่ไม่เกิน​ 6 ปี​ 

  • 4.5 หมื่นใบ
  • Gen Y​ 3 หมื่นใบ​ 
  • Gen X​ 1.2​ หมื่นใบ​

คำถามตัวโต ๆ คือ​ SML จะไหลต่อเป็น​ NPLs อีกเท่าใด​ การกำหนดให้ชำระหนี้ขั้นต่ำเพิ่มขึ้นจาก​ 5% เป็น​ 8% และ​ 10% ตามลำดับ​ มันช่วยแก้ปัญหาหนี้ได้จริงๆ เป็นไปตามเป้าประสงค์​มาตรการหรือไม่​ ความจริงคนเรามีบัตรเครดิตได้หลายใบ​ การเพิ่มอีก​ 3% ของยอดหนี้ในแต่ละใบ​ คนไม่เคยเป็นหนี้อาจนึกไม่ออกว่าจะหมุนหาจากไหนไปจ่ายได้​ และประการสุดท้ายค่าใช้จ่ายทั้งหลายมันเริ่มเพิ่มอย่างชัดเจนเช่น​ ไข่ไก่​ ผักบางชนิด​ น้ำมันก็เริ่มขยับ​ เป็นต้น​

การท่องตำราแก้ปัญหากับการท่องยุทธ​จักรแบบเดินเผชิญสืบ​ มันใช้ใจที่ต่างกัน​ ตัวอย่างเรื่องนี้คือหนังชีวิตจริง​ แต่ถ้ามองเป็นหนังอานิเมะ​ มันก็อาจผิดเพี้ยน​ ต้องกลับมาดูกันเพราะแค่​ 3เดือนกลิ่นมันแรงแบบโตขึ้น​ 32.4%yoy​ 20.6%qoq มันไม่ธรรมดานะครับ​

"ตั้งโจทย์ผิด​ แต่ตอบโจทย์​ที่ผิดได้ถูก​ ผลลัพธ์​ผลผลิตมันจะผิดเพี้ยนไปหรือไม่​"

ฐานเศรษฐกิจ สอบถามแหล่งข่าวจากฝ่ายการเงินรายหนึ่ง ซึ่งมีความมั่นใจว่า ผู้ออกนโยบายอย่างธนาคารแห่งประเทศไทย คงจะลืมไปว่า ประชาชนแต่ละคนที่ใช้บัตรเครดิต ไม่ได้เพียงใบเดียว แต่เฉลี่ยมีบัตรเครดิตที่ใช้อยู่ราว 2-3 ใบต่อคน เมื่อยอดค่าชำระเพิ่มขึ้น 3% ของยอดหนี้แต่ละบัตร ทำให้ประชาชนหลายราย ไม่มีความสามารถมากพอในการชำระหนี้

เรายังต้องตั้งคำถามอีกว่า เงินเดือนหรือรายได้ต่อหัวของไทย ฟื้นตัว หรือเพิ่มขึ้นกี่เปอร์เซ็นต์ เทียบกับการจ่ายขั้นต่ำที่เพิ่มมา 3% เชื่อว่าผู้ออกนโยบายคงหวังดี ต้องหารให้เงินต้นหมดเร็วขึ้น แต่ก็ต้องคำนึงถึงความสามารถในการชำระหนี้ด้วย 

ทั้งนี้ หากต้องการจะช่วยเหลือจริง มองว่าควรออกมาตรการเฉพาะกลุ่ม แทนการปรับขึ้นอัตราการขั้นต่ำ รวมถึงควรปรับลดดอกเบี้ยบัตรเครดิตให้ต่ำลง มิเช่นนั้นจะเป็นการซ้ำเติมเศรษฐกิจ กำลังซื้อลดลง ส่วนประชาชนจ่ายหนี้ไม่ไหวแต่ก็ไม่อยากปรับโครงสร้างหนี้ เพราะจะเสียประวัติ