จากกรณีคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ได้อนุญาตให้มีการควบรวมค่ายมือถือและอินเทอร์เน็ต ด้านสภาผู้บริโภคพบว่า กสทช. มีการละเลยการกระทำในหลายกรณี โดยเฉพาะการไม่กำกับดูแลให้ลดราคาค่าบริการมือถือและอินเทอร์เน็ตบ้านตามเงื่อนไข นอกจากนี้ยังเกิดผลกระทบต่อผู้ใช้บริการหลายประการ
นางสาวพนิตา ฟองอ่อน จากศูนย์คุ้มครองผู้บริโภคแรงงานนอกระบบ ได้สะท้อนปัญหาการใช้บริการโทรศัพท์มือถือหลังการควบรวมว่า พบการเปลี่ยนแพ็กเกจโดยมีการส่งข้อความแจ้งผู้ใช้บริการว่า “หากไม่ต้องการเปลี่ยนแพ็กเกจต้องกดยืนยันเพื่อใช้แพ็กเกจเดิม”
ในมุมของผู้บริโภคย่อมมีความกังวล เกี่ยวกับมิจฉาชีพที่มักส่งลิงก์มาให้ทางข้อความ จึงทำให้ไม่กล้ากดยืนยันผ่านลิงก์ดังกล่าว หรือผู้ใช้บริการอาจไม่เห็นข้อความที่ผู้ให้บริการส่งมา ซึ่งเมื่อผู้ใช้บริการไม่มีการกดยืนยันใดๆ จะทำให้แพ็กเกจถูกเปลี่ยนเป็นราคาที่แพงขึ้นโดยอัตโนมัติ โดยอ้างว่าได้ส่งข้อความแจ้งผู้บริโภคแล้วแต่ไม่มีการกดยืนยัน
จึงเป็นสาเหตุที่ผู้ใช้บริการถูกเปลี่ยนแพ็กเกจโดยไม่รู้ตัวเพราะไม่ได้กดยืนยัน แทนที่จะเป็นการส่งข้อความเพื่อแจ้งว่าถ้าต้องการเปลี่ยนค่อยยืนยัน นอกจากนี้ ยังพบปัญหาเรื่องสัญญาณอินเทอร์เน็ตที่แม้จะต้องจ่ายค่าบริการแพงขึ้น แต่กลับมีคุณภาพที่ต่ำกว่าก่อนการควบรวมอย่างเห็นได้ชัด
ล่าสุด (26 มี.ค. 2567) นางสาวสารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการสำนักงานสภาผู้บริโภค พร้อมด้วยเครือข่ายผู้บริโภคกรุงเทพมหานคร ได้เดินทางไปยื่นหนังสือและรายงานการทำหน้าที่ฯ ของกสทช. ต่อสมชาย แสวงการ ประธานคณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชน สิทธิเสรีภาพและการคุ้มครองผู้บริโภค วุฒิสภา เพื่อเป็นข้อมูลให้หน่วยงานต่าง ๆ รวมถึงคณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชน สิทธิภาพ และการคุ้มครองผู้บริโภค ในการพิจารณาการปฏิบัติหน้าที่ของ กสทช. และสํานักงาน กสทช. ว่าทําหน้าที่บกพร่องหรือไม่
นอกจากนี้ยังมีตัวแทนเครือข่ายผู้บริโภคที่ร่วมสะท้อนปัญหาในการใช้บริการสัญญาณโทรศัพท์มือถือและอินเทอร์เน็ต ทั้งเรื่องคุณภาพของสัญญาณ ราคาค่าบริการที่ถูกปรับเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ยังมีประเด็นเรื่องทางเลือกของผู้บริโภคที่น้อยลง เช่น ก่อนหน้าที่จะมีการควบรวมเคยใช้แพ็กเกจราคาประมาณ 200 บาทใช้อินเทอร์เน็ตได้ไม่จำกัด แต่เมื่อมีการควบรวมกลับพบว่าไม่สามารถใช้อินเทอร์เน็ตได้
เมื่อติดต่อเจ้าหน้าที่ศูนย์บริการทำให้ทราบว่าแพ็กเกจดังกล่าวถูกยกเลิกแล้ว จึงต้องเปลี่ยนเป็นแพ็กเกจที่ราคาแพงขึ้น อีกทั้งยังใช้อินเทอร์เน็ตได้น้อยลงกว่าเดิม
นาย สมชาย แสวงการ ประธานคณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชน สิทธิเสรีภาพและการคุ้มครองผู้บริโภค วุฒิสภา ระบุว่า กมธ. ได้รับทราบและติดตามปัญหาที่สืบเนื่องจากการควบรวมกิจการอยู่เป็นระยะ โดยพบว่าข้อมูลสะท้อนไปในทิศทางเดียวกับสภาผู้บริโภค คือการควบรวมกิจการทำให้การแข่งขันน้อยลง ผูกขาดมากขึ้น ทั้งยังมีปัญหาเรื่องราคาและคุณภาพสัญญาณ ทำให้ผู้บริโภคเสียเปรียบ ทั้งยังกล่าวอีกว่าส่วนตัวพบปัญหาคุณภาพสัญญาณอินเทอร์เน็ตเช่นเดียวกัน
พร้อมระบุว่า เคยพบปัญหาอินเทอร์เน็ตช้า เมื่อเข้าไปถามที่ศูนย์บริการพนักงานแจ้งว่าสาเหตุที่ควบรวมกันแล้วสัญญาณอินเทอร์เน็ตช้าลง เป็นเพราะมีการรวบลูกค้าของทั้งทรูและดีแทคไปเสาสัญญาณร่วมกัน ปัญหาคือเมื่อมีเสาเดียวแต่มีปริมาณคนใช้บริการเพิ่มขึ้นก็ย่อมส่งผลต่อสัญญาณมือถือและอินเทอร์เน็ต ซึ่งต่อให้หลาย ๆ ท่านยอมจ่ายเงินเพิ่มขึ้นเพื่อให้ได้สัญญาณที่ดีขึ้น ก็อาจไม่สามารถแก้ปัญหาได้ อย่างไรก็ตามสิ่งที่กล่าวมาเป็นเพียงคำชี้แจงจากเจ้าหน้าที่ ซึ่งหลังจากนี้ กมธ. อาจต้องร่วมกับสภาผู้บริโภคศึกษาข้อมูลและรายละเอียดกันต่อไป
ทั้งนี้ น.ส.สารี เปิดเผยว่า มีความหวังว่าคณะกรรมาธิการในฐานะที่มีบทบาทในการแต่งตั้ง กสทช. จะใช้ข้อมูลฉบับนี้ในการตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่ของ กสทช. ว่าเป็นไปตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญแห่งร่างอาณาจักรไทยหรือไม่ โดยเฉพาะมาตรา 60 และมาตรา 75 ที่ให้อํานาจ กสทช. ในการรักษาประโยชน์สูงสุดของประชาชนในกิจการที่เกี่ยวข้องกับกิจการสื่อและโทรคมนาคม
โดยก่อนหน้านี้ (21 มีนาคม 2567) สภาผู้บริโภคได้ยื่นหนังสือ และรายงานการทำหน้าที่ของคณะกรรมการ กสทช.กรณีควบรวมค่ายมือถือ และอินเทอร์เน็ตบ้านในมุมผู้บริโภค ต่อประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) 3 คณะ ได้แก่ กมธ.การพัฒนาเศรษฐกิจ สภาผู้แทนราษฎร กมธ.การสื่อสาร โทรคมนาคมและดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม สภาผู้แทนราษฎร และ กมธ.การคุ้มครองผู้บริโภค สภาผู้แทนราษฎร เพื่อให้ตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่ของ กสทช.